xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ข้องใจ “ปู” กลับลำตรวจคาร์บอมบ์ เตือน “บิ๊กอ๊อด” ระวังปาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้นำฝ่ายค้านแสดงความยินดีนายกฯ กลับลำบินด่วนตรวจเหตุคาร์บอมบ์ด้วยตัวเอง กังขาทำไมถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เตือน “บิ๊กอ๊อด” ระวังคำพูดหากหวังให้เหตุการณ์ไม่รุนแรงเพิ่ม อัด รบ.ลำดับความสำคัญงานผิด มัวแต่หมกมุ่นปัญหาคนบางกลุ่ม ย้ำสถาบันพระปกเกล้าต้องถอนผลวิจัย ป้องกันการเมืองนำไปหาประโยชน์

วันนี้ (2 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าภายหลังเกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่ รร.ลีการ์เดนส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า เป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นการไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่่ทำงานและประชาชนที่บาดเจ็บและคนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนที่กล่าวอ้างว่าจะไม่ได้ไปทุกจุดเพราะเกรงใจเจ้าหน้าที่ที่จะต้องมาดูแลนายกฯ เป็นพิเศษนั้น ตนมองว่ามันอยู่ในวิสัยที่จะจัดระบบได้ โดยอาจจะมีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปเพิ่มถ้าเป็นห่วงว่าจะต้องใช้เจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก ส่วนการเปลี่ยนใจลงพื้นที่ในวันนี้เป็นเพราะเกิดจากแรงกดดันจากที่ตนลงพื้นที่ไปก่อนหรือไม่ก็ไม่สามารถทราบได้ ต้องไปถามนายกฯ เองว่าเปลี่ยนใจเพราะอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่ในลักษณะที่อาจจะไม่ได้ให้เวลากับพื้นที่มากนักจะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาวางแผนแก้ปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อลงไปแล้วอย่างน้อยน่าจะไปเยี่ยมประชาชนและควรที่จะได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะคนที่รับผิดชอบในระดับหลักๆ ที่จะสามารถทำให้นโยบายเป็นเอกภาพได้ เมื่อถามต่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ออกมายอมรับว่าการก่อเหตุในครั้งนี้อาจเกิดจากความไม่พอใจในเรื่องการเจรจากับกลุ่มหนึ่งโดยอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้เจรจาด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนถึงได้ย้ำตลอดว่า การแก้ปัญหาต้องอาศัยความละเอียดอ่อน เข้าใจถึงสถานการณ์ การจะตัดสินใจทำอะไรหรือพูดอะไรให้สัมภาษณ์อย่างไรต้องมีความระมัดระวัง หลายเรื่องที่ผ่านมาไม่ควรพูด ตนอยากให้รัฐบาลทบทวนโยบาย ในเรื่องของสถานการณ์ โดยเฉพาะจุดที่คิดว่ามีปัญหาทั้งหมด และเมื่อรองนายกฯ ออกมายอมรับว่ามีบางจุดที่ต้องไปทบทวนก็ควรทำ และคิดว่าการติดตามเรื่อง นายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรีที่ทำเรื่องนี้ควรติดตามอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

เมื่อถามว่าขณะนี้สถานการณ์ยังน่าห่วงแต่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ออกมาบอกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นภายใน 3 เดือนนั้น ตรงนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็เป็นจุดหนึ่งที่อยากให้ระมัดระวังคำพูด เวลานี้คงเห็นได้ชัดแล้วว่ามีความน่าเป็นห่วงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเป็นเหตุที่ใหญ่ที่สุด อีกทั้งเกิดในใจกลางเมืองหาดใหญ่ และหากลงไปดูสภาพพื้นที่จริงๆ จะเห็นว่าความรุนแรงของเหตุต้องถือว่ารุนแรง ฉะนั้นจะนิ่งนอนใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังอย่างที่บอก ไม่ใช่ว่าไปทำอะไรที่คิดว่าจะไปเป็นปฏิกิริยาไปตอบโต้และเข้าสู่วงจรของความรุนแรง แต่ทางตรงกันข้ามคือต้องตั้งหลักให้ดี และทบทวนนโยบาย เมื่อถามต่อว่า ความรุนแรงที่กระจายเข้าไปในพื้นที่เศรษฐกิจจะกลายเป็นการยกระดับปัญหาไปสู่เวทีนานาชาติได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เหตุที่หาดใหญ่เคยเกิดเมื่อปี 2549 ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ การจะออกมาบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดเลยคงไม่ได้ แต่การใช้คาร์บอมบ์ 2 จุดในเมืองใหญ่พร้อมกันตรงนี้น่าเป็นห่วง ทั้งหมดอยู่ที่การตั้งหลักในเรื่องของนโยบาย รวมไปถึงแนวทางของการชี้แจงต่อประชาคมโลกด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในหลายรัฐบาลพยายามยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาภายในประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราก็ต้องยืนยันต่อไปว่าเป็นปัญหาภายในประเทศ เพราะถ้าไม่ยืนยันอย่างนี้ก็จะเกิดความซับซ้อนและเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นมาอีก ซึ่งตนก็มีความกังวลตรงที่ว่า ที่ผ่านมาเวลาเราติดตามงานในสภาฯ ยังเห็นว่าการติดตามปัญหานี้อย่างเกาะติดยังไม่ได้เกิดขึ้นในระดับนโยบาย เมื่อถามย้ำว่า เป็นเพราะรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าลำดับความสำคัญผิดเพราะมัวแต่ไปหมกมุ่นอยู่กับหลายเรื่องที่ไม่ควรไปใช้เวลาตรงนั้น ควรมาดูแลปัญหาประชาชนมากกว่า อย่างเช่น การไปเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จวาระ 2 ก่อนเทศกาลสงกรานต์ รายงานปรองดองต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ให้ได้ในวันที่ 4 เม.ย. แต่ความจริงแล้วเรื่องอื่นสำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ หรือปัญหาภาคใต้ที่ควรจะได้รับการแก้ไขก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ารัฐบาลเร่งรัดในส่วนที่เป็นแผนทางการเมืองเสร็จแล้วจะสามารถสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เวลานี้แนวที่ทำอยู่มันไม่ใช่การปรองดอง แต่เป็นการใช้เสียงข้างมากที่จะนำไปสู่เป้าหมายการล้างความผิดให้คนบางกลุ่มเท่านั้น ตนเชื่อว่าขณะนี้ผู้ที่ทำวิจัยหรือผูู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในหลายขั้นตอนก็มองเห็นว่าไม่ได้มีการนำเอาเจตนารมณ์ของการปรองดองไปสานต่ออย่างแท้จริง ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร จะศึกษากรณีปัญหาภาคใต้แต่เมื่อนำเข้าสู่สภาฯ กลับไม่มี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีแต่เพียงการทำรายงานแนบไปเฉยๆ ซึ่งตนมองว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ กลายเป็นว่าอนุกรรมาธิการศึกษาเสร็จแล้วแทนที่ กมธ.จะนำมาพิจารณาให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่ทำ แต่กลับไปผนวกท้ายเฉยๆ การออกมากล่าวอ้างก็เพื่อต้องการเร่งรัดในเรื่องที่ตัวเองอยากได้

เมื่อถามว่า น.ส.ถวิลวดี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ออกมาเรียกร้องให้ถอนผลวิจัยออก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนได้เสนอมาตลอดว่าถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดสถาบันและผู้วิจัยต้องปกป้องตัวเองด้วยการถอนออกมา และคิดว่าความชอบธรรมในการที่จะไปอ้างก็จะไม่มี เราก็จะได้ไม่ต้องนำไปสู่ปัญหาของความขัดแย้ง และถ้าเข้าไปสู่ความขัดแย้งก็ต้องเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาล เมื่อถามย้ำว่า ความดื้อดึงของประธานรัฐสภาจะนำไปสู่ความเสียหายของประเทศอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย คิดว่าท่านประธานเองควรได้คำนึงถึงสถานะของความเป็นกลางที่เป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งในการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้าในวันที่ 3 เม.ย. ก็คิดว่าประธานสภาฯ ควรจะฟังกรรมการสภา และยังไม่ทราบด้วยว่าในการประชุมเขาจะคุยกันอย่างไร และถ้าหากประธานไม่ฟังกรรมการก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะสถาบันก็จะได้รับผลกระทบด้วย ส่วนตนจะเสนอแนะอะไรบ้างนั้นคงจะต้องรอฟังกรรมการคนอื่นๆประกอบด้วย เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาได้ว่ามีแต่ฝ่ายการเมือง อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าควรจะได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและผลกระทบที่กำลังตามมา เมื่อถามย้ำว่า การพิจารณารายงานของ กมธ.ปรองดองฯ จะสร้างจุดเดือดในสภาฯ ในวันที่ 4 เม.ย.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกคนควรหลีกเลี่ยงและไม่ควรสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น