“ยุทธศักดิ์-ประยุทธ์” นำหน่วยงานด้านความมันคง ลงพื้นที่ภาคใต้ ปรับแผนรับมือผู้ก่อความไม่สงบ แนะ “ยิ่งลักษณ์” เลิกคิดเจรจาโจรใต้ เหตุมีหลายแก๊ง เจรจากลุ่มหนึ่งอีกกลุ่มไม่เอาด้วยจะโชว์ศักยภาพวางบึ้มเหมือนที่เกิดขึ้น ระบุผู้ก่อความไม่สงบเป็นคนไทยทั้งหมดไม่มีต่างชาติ ด้าน “ยุทธศักดิ์” แฉแก๊งคาร์บอมบ์เป็นกลุ่มใหม่บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต หัวรุนแรง ก่อเหตุตอบโต้หลัง ศอ.บต.ดอดเจรจากับบีอาร์เอ็นกลุ่มเก่า เผยเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้ เอ็ม 79 ถล่มบ้าน “นัจมุดดิน” อดีต ส.ส.นราธิวาส ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ศอ.บต.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์ระเบิดคาร์บอมบ์ที่ จ.ปัตตานี ยะลา และหาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านความมั่นคงว่า การเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ครั้งนี้ไปกันครบ ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายนโยบายและฝ่ายความมั่นคง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด โดยเฉพาะการติดตามผู้ก่อเหตุ และการดูแลผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต รวมทั้งทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว โดยตนได้สั่งการเพิ่มเติมไปยังกองทัพภาคที่ 4 ว่าให้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้
นอกจากนี้ ตนยังสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางไปหารือกับ ผบ.ตร.เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น สิ่งสำคัญในเดือน เม.ย.จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นทุกปี เช่น กรือเซะ สะบ้าย้อย ซึ่งหน่วยข่าวมีการแจ้งเตือนมาโดยตลอด และพยายามเต็มที่ในการดูแลพื้นที่ชุมชน นอกเขตเมือง แต่อาจมีบกพร่อง เพราะเมื่อไรก็ตามที่สถานการณ์เงียบสงบ จึงมีการปล่อย ผ่อนคลาย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามที่จ้องก่อเหตุอยู่ ตนเฝ้าเตือนอยู่เสมอให้เฝ้าระวังตลอด 24 ชม. โดยวันนี้ตนจะลงไปดูว่า ที่ผ่านมามีการปรับแผนอย่างไรบ้าง โดยวันนี้ตนจะไปสั่งการในพื้นที่ในนามกองทัพบกเรื่องการปรับกำลังในเขตเมือง ซี่งความรับผิดชอบคงต้องเป็นของตำรวจเช่นเดิมเพราะเราไม่สามารถนำทหารไปดูแลพื้นที่นี้ได้ โดยต้องมีการปรับกำลังตำรวจว่าจะทำอย่างไร และจะมีส่วนอื่นไปเสริมหรือไม่
“ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้าน โดยขอร้องว่าสถานการณ์ภาคใต้วันนี้ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งผมไม่อยากให้นำเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องการเมือง หรือเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งปัญหาประกอบด้วยหลายส่วน คือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม รวมถึงมีภัยแทรกซ้อนเข้ามาประกอบ สิทธิมนุษยชน ทำให้ทุกอย่างมารวมกันเป็นปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งเราต้องค่อยๆ คลี่คลาย จะใช้อารมณ์หรือความรุนแรงไปปราบปรามคงไม่ได้ เพราะจะทำให้เสียหายมากขึ้น”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรารู้หมดว่าตอนนี้เราสู้อยู่กับใคร มีจำนวนเท่าไร แนวร่วมเท่าไร ซึ่งไม่ได้มากมาย แต่เขาใช้วิธีกองโจร คือ ไม่มีความชัดเจน ไม่แสดงตัวตน ไม่มีที่ตั้งหน่วย และใช้ความรุนแรง คือ ยุทธวิธีการก่อการร้าย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากล เพราะเท่าที่สืบทราบมาไม่เกี่ยวกับต่างประเทศ เป็นคนไทยเชื้อสายมุสลิมทั้งสิ้น จริงๆ แล้วขบวนการพวกนี้เป็นคนไทย เป็นการจับกลุ่มกันขึ้นมาและพวกนี้ก็เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนเดิม บีอาร์เอ็นเดิม และแยกออกมาเป็นบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต คนพวกนี้ก็เป็นลูกหลานของคนสมัยก่อนทั้งสิ้น โดยผู้ก่อความไม่สงบแต่เดิมมีหัวหน้าประมาณ 300 คน เมื่อรวมกับแนวร่วมเบ็ดเสร็จมีทั้งหมดประมาณ 1 หมื่นคน แต่จากการจับกุมดำเนินคดีเหลือทั้งหมด 4-5 พันคน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาพยายามทำให้เราใช้ความรุนแรง โดยให้เราเอากำลังเข้าไปมากๆ แล้วสู้กัน ถ้าเราทำอย่างนั้นจะเกิดปัญหา ผู้ก่อการร้ายมีอย่างเดียวคือใช้ความรุนแรงยกระดับเพื่อเรียกความสนใจจากคนในประเทศและนอกประเทศให้ตระหนก ดังนั้น ขอร้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก เพราะจะเข้าทางที่เขาต้องการ สิ่งที่เราควรคำนึงคือ การปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ให้มากขึ้น เพิ่มมาตรการเข้มงวดกวดขัน รวมถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องซีซีทีวีที่มีคุณภาพต้องติดให้ครบ ส่วนกำลังพลทั้งทหาร และพลเรือนต้องฝึกและเรียนยุทธวิธีการก่อการร้าย ถ้าเราเอาคนที่ทำงานในสายงานปกติลงไปก็ทำงานไม่ได้ 100%
ทั้งนี้ อยากขอร้องประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตั้งด่าน ตรวจค้น การขอบังคับใช้กฎหมาย ถ้าไม่ยอม หรือกฎหมายฉบับไหนก็ไม่ใช้ ไม่ให้มีการตรวจค้น นี่คือ ปัญหา ดังนั้นเราต้องเข้มงวดในทุกมาตรการที่เคยทำมา ถ้าทำได้ เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดหรือเกิดน้อย ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดตลอด 24 ชม. ไม่ใช่สถานการณ์เงียบสงบ แล้วผ่อนคลาย เช่น ในส่วนบ้านพัก ที่อยู่อาศัย เจ้าของก็ดูแลอยู่แล้ว สถานที่ภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน หลังร้านต้องมี รปภ.และต้องเข้มงวด โดยเฉพาะโรงแรมต้องมีการตรวจใต้ท้องรถ แต่ปัจจุบันบางทีไม่ตรวจค้น และเหตุที่เกิดขึ้นก็เกิดที่โรงแรม
นอกจากนี้ เรายังให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา โดยมอบวิทยุเครื่องดำ เครื่องแดง หลายหมื่นเครื่องเพื่อให้ช่วยเฝ้าระวัง เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ เพราะฝ่ายข่าวแจ้งเตือนมาโดยตลอด แต่ไม่ช่วยกันดูแล ขณะนี้เรามีมาตรการในการตรวจรถเก๋ง มอเตอร์ไซค์ คือ การขึ้นทะเบียน 1 แสนคัน โดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นผู้ดำเนินการ โดยการติดสติกเกอร์ และใช้เครื่องยิงตรวจเวลาผ่านด่านในเส้นทางหลักๆ และเส้นทางอ้อม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางฝ่ายรัฐเข้าไปพูดคุยกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราคงคุยไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนที่มีข่าวออกมาต้องตรวจสอบกัน ตนพูดอยู่เสมอและได้เรียนนายกฯ และทุกคน รองนายกฯ ท่านก็รู้ดีว่า มันไม่ได้มีแค่เพียงกลุ่มเดียว แต่มีหลายพวกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน พวกธุรกิจผิดกฎหมาย ยาเสพติด แม้กระทั่งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็เป็นกลุ่มเล็กๆ มารวมกันแต่ละกลุ่มความคิดเป็นของมันเอง มีบางกลุ่มอยากเลิก บางกลุ่มอยากทำอยู่ มันก็แย่งชิงแกนนำกันในพวกเขาเอง ทั้งนี้ การพูดคุยไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฏหมาย แต่หากคุยแล้วไม่ครบกลุ่มจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นเพราะพวกนี้ต้องการสร้างสถานการณ์แย่งชิงแกนนำกันในกลุ่มโดยใช้ความรุนแรงเข้าต่อสู้ แสดงฤทธิ์ เพื่อให้คนในกลุ่มเล็กเข้ามารวมในกลุ่มของตนเอง
“ปัญหาคือทำอย่างไรจะจับกุมคนพวกนี้ได้โดยใช้กฎหมายที่เรามีอยู่ ดังนั้นสากลจะเข้ามายุ่งอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องภายในประเทศ ส่วนผู้ที่ก่อเหตุระเบิดขึ้นก็กลุ่มนี้แหละที่ทำงานอยู่เพราะมันมีไม่กี่กลุ่ม มันใช้คนน้อย และไม่ใช่กำลังขนาดใหญ่ไม่มีไปวางกำลังที่ไหนก็ไม่ได้ ถ้าวางตรงไหนทหารเราก็เข้าไปจับไปยึด เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็ลักลอบทำที่ละ 5 คน 10 คนเท่านั้นและก็เคลื่อนไหวไปมา ทางเจ้าหน้าที่เราก็มีหมายจับมีชื่อคราวที่แล้วเจ้าหน้าที่ก็จับไปแล้ว 30 คน พวกนี้ถือว่าทำผิดกฎหมายประเทศไทยแล้วเป็นคนไทยมุสลิมทั้งสิ้น แต่เขาอาจเข้าใจผิด วันนี้เขาใช้ความรุ่นแรง เราต้องประณามพวกนี้ ถ้าจะแยกดินแดนแล้วใช้ความรุนแรงอย่างนี้จะสำเร็จหรือไม่ บอกได้เลยว่าไม่สำเร็จ เพราะทำให้คนบริสุทธิ์ทั้ง 2 ฝ่ายเสียชีวิต ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม คนมุสลิมไม่ต้องให้ความร่วมมือกับคนพวกนี้ ต้องรังเกียจ เพราะพวกนี้ทำผิดศาสนาที่สอนไม่ให้ฆ่าคน”
ส่วนที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบตนไม่ได้ข่าว และตนเรียนท่านนายกฯ ไปแล้วว่าจะให้ไปพูดคุยอะไรกับใครเค้าไม่ได้ต้องเป็นเรื่องของหน่วยงานในพื้นที่ เพราะมีมาตรา 21 อยู่ คือ การให้เข้ามามอบตัว โดยเป็นการแจ้งข่าวออกไปให้ญาติพี่น้องนำมามอบตัว วันนี้ก็มีเพิ่มขึ้นมาเป็น 7 ราย และกำลังเข้าสู่กระบวนการอยู่ ตนว่าที่เหลือจะออกมา ซึ่งตนเคยพบกับกลุ่มคนพวกนี้ที่กลับใจมาร่วมกับเราเขาบอกว่าไม่ไหวแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย สู้มาหลายสิบปีไม่สำเร็จสักที เพราะฉะนั้นอยากให้ใช้กระบวนการทางกฎหมาย โดยในการแก้ไขปัญหาที่ทุกคนอยากได้ในตอนนี้ คือ การเมืองนำการทหาร ทั้งนี้อีก 3 ปีเราต้องเป็นอาเซียน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยูเอ็น หรือของสากล เขาจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เขาใช้คำว่า responsibility to protect ประชาคมโลกถ้าเกิดปัญหาอะไรก็ตามหากเราดูแลไม่ได้เค้าก็ต้องเข้ามา ตัวอย่างมีอยู่แล้ว ทุกวันนี้เราใช้กฎหมายของเราดีที่สุด
ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของตนจะลงไปดูในระดับยุทธศาสตร์โดยภาพรวม ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย หลังจากที่เกิดเหตุในพื้นที่ ในส่วนกองทัพจะไปปรับแผนให้มีความรัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดกำลังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่อยากเรียกว่าตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่การปฏิบัติในการดูแลความปลอดภัยจะเน้นในเรื่องการป้องกันเป็นหลักก่อน โดยพื้นที่เกิดเหตุในเทศบาลเมืองยะลา มีการมอบพื้นที่ให้ตำรวจไปดูแล ซึ่งในช่วงแรกมีความรัดกุมพอสมควรแต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปอาจจะมีช่องว่างอยู่บ้าง คงต้องมีการปรับให้เหมาะสมมากขึ้น
ในส่วนของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่ผ่านมาถือว่าทำงานเต็มที่ มีการเปิดยุทธการ ใช้ยาแรง จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องออกมาตอบโต้
“กลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มใหม่หัวรุนแรงที่เป็นสายเหยี่ยวอยู่ในบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต ที่ไม่เห็นด้วยกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นกลุ่มเก่าที่เข้าเจรจากับคนของ ศอ.บต.ที่ส่งไปคุย ซึ่งเราไม่เรียกว่าเป็นการเจรจา เพราะที่ไปคุยไม่ใช่เรื่องทางการ ซึ่งกลุ่มใหม่เขาไม่เห็นด้วยกับการเจรจา และไม่พอใจ มีการไปยิงเอ็ม 79 ที่บ้านนายนัจมุดดิน อูมา อดีต ส.ส.นราธิวาส (เคยอยู่ในบัญชีรายชื่อกลุ่มบีอาร์เอ็น) เพราะ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. แต่งตั้งนายนัดมุดดินเป็นที่ปรึกษา ซึ่งการแสดงตัวเช่นนี้ทำให้เห็นว่ากลุ่มใหม่ต้องการเคลื่อนไหวสร้างความรุนแรงต่อไป ในขณะที่กลุ่มเก่าที่เราเข้าไปคุยต้องการเจรจาแต่ไม่ได้มีบทบาทมากนัก”