“ศาลปกครองกลาง” สั่ง ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิต จากการสลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.51 หลังชี้มูลว่าอดีตนายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” มีความผิดทางอาญา สั่งสลายการชุมนุมโดยมิชอบ ชี้ไม่มีเหตุต้องปิดบัง เพราะไม่กระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ หรือความปลอดภัยบุคคล
วันนี้ (30 มี.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาสั่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่าในบริเวณด้านหน้ารัฐสภา ถ.อู่ทองใน บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย บริเวณกองบัญชาการตำรวจนครบาล บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณใกล้เคียงท้องที่เขตดุสิต มีจำนวนกี่รายให้แก่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่ร้องขอ โดยให้ ป.ป.ช.ขอคัดข้อมูลดังกล่าวจากอัยการสูงสุดและส่งมอบให้กับนายสมชายตามที่ศาลมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ คำพิพากษาดังกล่าวสืบเนื่องมาจากนายสมชายได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการ ป.ป.ช. เลขาธิการ ป.ป.ช. หลังจากที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลว่านายสมชายมีความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจนทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจากการที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการตำรวจ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อเปิดทางให้สามารถเข้าไปประชุมรัฐสภาได้จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก และให้นายสมชายยื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ซึ่งนายสมชายได้มีหนังสือถึง ป.ป.ช.ขอข้อมูลข่าวสารจำนวน 11 รายการที่เกี่ยวข้องกับการมีมติชี้มูลดังกล่าวของ ป.ป.ช. เพื่อนำมาพิจารณาสู้คดี แต่ ป.ป.ช.ปฏิเสธ โดยอ้างว่าหากเปิดเผยข้อมูลออกไปจะกระทบความมั่นคงของรัฐในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและความปลอดภัยของบุคคล นายสมชายจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ ป.ป.ช.กลับไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว โดยมีการชี้มูลความผิดนายสมชายออกมา ซึ่งนายสมชายเห็นว่าการกระทำของ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง
ส่วนที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลแก่นายสมชาย ระบุว่า การที่ ป.ป.ช.มีหนังสือไปยังนายสมชาย อ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจำนวน 11 รายการเพราะอาจกระทบความมั่นคงของรัฐในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและความปลอดภัยของบุคคล เป็นการปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 แต่เมื่อ ป.ป.ช.ยอมรับว่าได้ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารทั้งหมดจำนวน 1,766 แผ่นไปยังอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดโดยอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบรายงานและเอกสารทั้งหมดที่ส่งไปแล้วไม่ปรากฏว่ามีข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1-9 และที่ 11 คงมีแต่เพียงเอกสารายการที่ 10 จึงเชื่อว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1-9 และ 11 ที่นายสมชายมีคำขอนั้นไม่ได้อยู่ในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.แต่อย่างใด ดังนั้น ถ้า ป.ป.ช.จะปฏิเสธว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1-9 และ 11 ไม่ได้อยู่ในความครอบครองน่าจะถูกต้องมากกว่าปฏิเสธว่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้
ส่วนข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 นั้น ฟังได้ว่าอยู่ในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของป.ป.ช.ขณะที่นายสมชายมีคำขอ แต่ ป.ป.ช.ปฏิเสธที่จะให้เอกสารดังกล่าวจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ต้องห้ามมิให้มีการเปิดเผยหรือไม่ เห็นว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ที่นายสมชายขอตรวจสอบหรือขอทราบรายชื่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในแต่ละจุดตั้งแต่บริเวณหน้ารัฐสภาถึงบริเวณใกล้เคียงท้องที่เขตดุสิตมีจำนวนกี่ราย ไม่ได้เป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ หรือการคลังของประเทศ หรือเปิดเผยแล้วจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายของ ป.ป.ช.เสื่อมประสิทธิภาพ กระทบการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือมีกฎหมายคุ้มครองไม่ให้เปิดเผยตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ 10 นั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ของ ป.ป.ช.ตามหนังสือของเลขาฯ ป.ป.ช. รับ ที่ ปช.0014/23233 ลงวันที่ 15 พ.ค.52 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้นายสมชายได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารตามสิทธิที่พึงจะได้รับเพื่อนำไปประกอบการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา การกระทำของ ป.ป.ช.ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อนายสมชายที่ศาลมีอำนาจตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จะออกคำบังคับให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ให้กับนายสมชายได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 เป็นส่วนหนึ่งในการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ ป.ป.ช.ส่งให้อัยการสูงสุดไปแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าขณะที่นายสมชายมีคำขอและขณะที่ ป.ป.ช.ปฏิเสธไม่เปิดเผยนั้นข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ยังอยู่ในการครอบครองของ ป.ป.ช. ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 10 ไม่ได้อยู่ในครอบครองของตนเองแล้ว จึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของ ป.ป.ช.ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเฉพาะรายการที่ 10 และสั่งให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนี้พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องให้กับนายสมชายภายใน 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด โดยให้ ป.ป.ช.ขอคัดข้อมูลข่าวสารที่ 10 จากอัยยการสูงสุดเพื่อส่งมอบให้นายสมชาย