กกต.ประชุมนัดพิเศษวันนี้ เพื่อพิจารณาอีก 10 สำนวน “สมชัย” ปัดนักการเมืองวิ่งเต้นให้ กกต.จังหวัดทำสำนวนอ่อนเพื่อให้หลุดคดีทุจริตเลือกตั้ง อ้างเป็นขบวนการจ้องทำลาย กกต. แต่ยอมรับบางกรณีมีปัญหาเพราะเวลาสืบสวนน้อย พยานไม่กล้ายืนยัน จึงไม่มั่นใจสำนวนแต่ทำอะไรไม่ได้ “สดศรี” ท้าให้เปิดชื่อ หากมีจริงฟันไม่เลี้ยงแน่ ขณะเดียวกันเสนอให้ตรวจสอบทรัพย์สินเจ้าหน้าที่ กกต. ด้าน “ทนายไอ้ตู่” ยื่นหลักฐาน กกต.
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ได้นัดหมายประชุมนัดพิเศษในวันนี้ (25 ก.ค.) เพื่อเร่งพิจารณาคำร้องคัดค้าน เกี่ยวกับคุณสมบัติ ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ กกต.ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น กกต.บางคนมองว่าบางรายที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมาแล้วก็ไม่น่าจะพิจารณาคำร้องเรื่องคุณสมบัติซ้ำอีก แต่ในส่วนตัวกลับมองว่า หากรายที่คุณสมบัติ ส.ส.ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบ แต่เมื่อยังไม่ได้ประกาศรับรองผลก็น่าจะพิจารณาได้ด้วย จึงต้องมีการลงมติกันอีกครั้ง
รวมทั้งจะยกยอดการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ส.อีกราว 10 กว่ารายที่ค้างการพิจารณามาจากสัปดาห์ที่แล้วเข้าสู่ที่ประชุมด้วย โดยทาง กกต.จะตรวจสอบเท่าเทียมกัน ไม่ได้มองว่าจะต้องเป็นเฉพาะแกนนำ นปช.เท่านั้น และถ้าจำเป็นอาจจะต้องเปิดการประชุมพิเศษในวันศุกร์ มั่นใจว่าจะรับสอง ส.ส.ได้ร้อยละ 95 ตามเวลาที่กำหนด
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ออกมาปฏิเสธถึงกระแสข่าวมีว่าที่ ส.ส.บางรายวิ่งเต้นให้ฝ่ายสืบสวนและ กกต.จังหวัดให้ทำสำนวนอ่อนเป็นเหตุให้ กกต.ยกคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง ว่าไม่เป็นความเป็นจริง ตนทราบเรื่องจากข่าวเท่านั้น และเห็นว่าขบวนการจ้องทำลาย กกต.มีมาแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งถ้า กกต.ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางตามกฎหมายก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรื่องการวิ่งเต้นนั้นหากมีจริงก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา ถ้าผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ประชุม กกต. เนื่องจากไม่มีการร้องเรียเข้ามา และถ้า กกต.ทำเช่นนั้นเท่ากับว่า กกต.อ่อนไหวเกินไป
“ยืนยันว่าสำนวนคำร้องคัดค้านไม่มีอ่อน เพียงแต่ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนมีน้อยไป ประกอบกับมีเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก และพยานที่รู้เห็นการทุจริตเลือกตั้งไม่กล้ามาเป็นพยาน ทำให้ กกต.พิจารณาสำนวนได้เท่าที่มีพยานหลักฐานปรากฏ ซึ่งผมก็รู้สึกเพลียใจเหมือนกัน บางครั้งก็รู้สึกไม่มั่นใจกับการรวบรวมพยานหลักฐานของ กกต.จังหวัดที่ก็อยู่ห่างไกล และใกล้หมดวาระ รวมทั้งอยู่ใกล้ชิดนักการเมืองมากเกินไป หลายครั้งต้องส่งพนักงานสืบสวนส่วนกลางลงไปแต่ก็ไม่ได้พยานหลักฐานกลับมา และรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถแจกใบเหลืองใบแดงได้ตามเป้าที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ชัดเจน หลายกรณีที่หลุดไปเพราะพยานปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล”
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวเรื่องเดียวกันว่าว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ แต่ กกต.ทำงานด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ หากใครรู้ว่ามีการวิ่งเต้นสำนวน เพื่อให้สำนวนอ่อนก็ขอให้แจ้งเบาะแสมา กกต.ก็จะสืบสวนในทางลับ ถ้าพบว่าผิดจริง ก็จะฟันไม่เลี้ยง ต้องไล่ออกทันที และดำเนินคดีอาญาด้วย เพราะกกต.ก็เหมือนศาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการรับเรื่องเพื่อพิจารณา ที่หากยังไม่เข้าใจสำนวนหรือยังมีหลักฐานไม่เพียงพอก็ต้องส่งกลับให้สอบกันมาใหม่ ซึ่งก็มีหลายสำนวนเช่นกัน ที่ส่งกลับให้สอบเพิ่มเติม แต่สุดท้ายส่งกลับมาระบุว่าหาพยานไม่เจอ พยานไม่กล้ายืนยัน มีบางสำนวนขอถอนสำนวนออก บางสำนวนก็มีการเร่งรีบพิจารณาให้เสร็จโดยเร็ว
“หากนักการเมืองหรือผู้สมัครคนใดมีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่ของ กกต.เรียกรับสินบน ก็ขอให้แจ้งกับ กกต. เพราะ กกต.ไม่ต้องการให้เกิดข้อครหาในเรื่องของการวิ่งเต้นสำนวน เรื่องนี้อยากให้มีความชัดเจนอย่ากล่าวหากันลอยๆ กกต.ก็อยากให้มีสักเรื่องที่ให้เป็นกรณีตัวอย่าง เพราะ กกต.จะอยู่ไม่ได้ถ้าประชาชนไม่ไว้วางใจ และเจ้าหน้าที่จะมาทำลายองค์กร ทำลายยุ้งข้าวตัวเองเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องยุบองค์กรนี้ไปซึ่งก็เป็นเพราะฝีมือของพวกท่านเองไม่ใช่ กกต. ”
นางสดศรีกล่าวถึงกรณีที่มีการขอให้จะมีตรวจสอบทรัพย์สินของ กกต.ว่า ตนก็อยากขอให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ กกต.ด้วยว่าใครมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือไม่ ส่วนการตีกอล์ฟในข่าวนั้น กกต.ก็ยืนยันว่า กกต.5 คนไม่มีใครตีกอล์ฟเป็น และตั้งแต่มีการเลือกตั้ง กกต.ทุกคนก็เก็บตัวและระวังตัวไม่ได้ไปพบกับใคร ไปงานไหนก็ต้องรีบกลับ และเชื่อว่าคงไม่มีใครกล้ามาวิ่งเต้นกับ กกต.ทั้ง 5 และขณะนี้ก็มีตำรวจมาเฝ้าอยู่หน้าบ้านกันทุกคน ไปสอบถามดูได้ว่ามีใครเข้าออกบ้านหรือไม่ และตำรวจที่เฝ้าก็ต้องรายงานไปยังหน่วยงานต้นสังกัดอยู่แล้ว ส่วนสำนวนใดที่ กกต.ได้พิจารณายกคำร้องไปแล้วผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็สามารถขอดูได้ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
นางสดศรีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนร้องกรณีการวิ่งเต้นสำนวนซึ่ง กกต.ทั้ง 5 ได้พิจารณาลงโทษและไล่ออกไป และเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ไปร้องต่อศาลปกครอง แต่ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง โดยตนก็ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ของ กกต.ว่า หากมีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ แล้ว กกต.ต้องรับผิดชอบ กกต.ก็จะเรียกพนักงานมาเป็นจำเลยร่วมด้วย ไม่รับผิดเพียง 5 คน เพราะชั้นนี้ต้องเข้าใจว่าการทำทุจริตและมีการให้เงินให้ทองกับเจ้าหน้าที่จนเป็นเหตุให้สำนวนอ่อนหรือไม่
วันเดียวกันนี้ (25 ก.ค.) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมกับอนุกรรมการสืบสวนฯกรณีคุณสมบัติของนายจตุพร
โดยนายวิญญัติกล่าวว่า สาเหตุที่นำหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมเนื่องจากวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา อนุกรรมการฯ ของ กกต.เดินทางไปพบนายจตุพร ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับให้นายจตุพรยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรค และหลักฐานอื่นๆ ก่อนเวลา 12.00 น. ของวันที่ 26 ก.ค. ตนจึงนำเอกสารยื่นต่อ กกต.ประกอบด้วย 1.ระเบียบของพรรคเพื่อไทยในกรณีการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ที่ไม่ระบุว่าการถูกจำคุกจะทำให้สิ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากผู้ร้องได้ร้องในประเด็นดังกล่าว 2.คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจากศาลอาญา 3.เหตุจำเป็นอันไม่สามารถไปเลือกตั้งได้ของนายจตุพรที่ออกโดยสำนักงานเขตวังทองหลาง และ 4.ข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 40 ประกอบมาตรา 45 ที่ระบุว่าอำนาจการพิจารณาในคุณสมบัติผู้สมัครของ กกต.จะสิ้นสุดลงในวันเลือกตั้ง กกต.จึงไม่มีอำนาจในการพิจารณาคุณสมบัติของนายจตุพรอีก