xs
xsm
sm
md
lg

“เจ๊วา”ปัดตีกอล์ฟสินบนกกต. “สดศรี”ขู่ไล่ออก ยัน5เสือไม่มีใครตีเป็น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (25 ก.ค.) นางพรทิวา นาคาศัย เลขาธิการรพรรคภูมิใจไทย และว่าที่ส.ส.จังหวัดชัยนาท กล่าวถึงกระแสข่าวมีนักการเมือง ไปตีกอล์ฟกับผู้บริหารของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ตนเล่นกอล์ฟแค่เพียงปีละ 1ครั้ง ซึ่งเป็นการเล่นกับ รัฐมนตรีอาเซี่ยน เพื่อดูแลแขกบ้านแขกเมืองและพูดคุยกันในเรื่องของการค้าเพียงเท่านั้น ดังนั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง บ้านเมืองของเราอยู่ภายใต้กฏหมาย ทุกคนมีความเชื่อเรื่องยุติธรรม กกต.ทุกท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีชื่อเสียง และเกรียติยศ ท่านไม่มีทางมาทำเรื่องอย่างนี้ อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีอดีตสว. คนหนึ่ง มาวิ่งเต้น ให้ตนได้รับรองการเป็น ส.ส. นั้น เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง เช่นกัน โดยส่วนตัวเชื่อว่า กกต. ไม่มีใครเข้าไปวิ่งเต้นได้

**“สมชัย”ปัดรับสินบนทำสำนวนอ่อน
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ออกมาปฏิเสธถึงกระแสข่าวมีว่าที่ ส.ส.บางรายวิ่งเต้นให้ฝ่ายสืบสวนและกกต.จังหวัดให้ทำสำนวนอ่อนเป็นเหตุให้ กกต.ยกคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง ว่า ไม่เป็นความเป็นจริง ตนทราบเรื่องจากข่าวเท่านั้น และเห็นว่าขบวนการจ้องทำลายกกต.มีมาแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งถ้ากกต.ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ตามกฎหมายก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรื่องการวิ่งเต้นนั้นหากมีจริงก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา ถ้าผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ประชุมกกต. เนื่องจากไม่มีการร้องเรียเข้ามา และถ้ากกต.ทำเช่นนั้น เท่ากับว่ากกต.อ่อนไหวเกินไป
“ยืนยันว่าสำนวนคำร้องคัดค้านไม่มีอ่อน เพียงแต่ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนมีน้อยไป ประกอบกับมีเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก และพยานที่รู้เห็นการทุจริตเลือกตั้งไม่กล้ามาเป็นพยาน ทำให้กกต.พิจารณาสำนวนได้เท่าที่มีพยานหลักฐานปรากฎ ซึ่งผมก็รู้สึกเพลียใจเหมือนกัน บางครั้งก็รู้สึกไม่มั่นใจกับการรวบรวมพยานหลักฐานของ กกต.จังหวัดที่ก็อยู่ห่างไกล และใกล้หมดวาระ รวมทั้งอยู่ใกล้ชิดนักการเมืองมากเกินไป หลายครั้งต้องส่งพนักงานสืบสวนส่วนกลางลงไปแต่ก็ไม่ได้พยานหลักฐานกลับมา แฃะรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถแจกใบเหลืองใบแดงได้ตามเป้าที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ชัดเจน หลายกรณีที่หลุดไปเพราะพยานปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล”

**“สดศรี”ชี้หากจริงฟันไม่เลี้ยง“ไล่ออก”
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวเรื่องเดียวกันว่า ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ แต่กกต.ทำงานด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ หากใครรู้ว่ามีการวิ่งเต้นสำนวน เพื่อให้สำนวนอ่อนก็ขอให้แจ้งเบาะแสมา กกต.ก็จะสืบสวนในทางลับ ถ้าพบว่าผิดจริง ก็จะฟันไม่เลี้ยง ต้องไล่ออกทันที และดำเนินคดีอาญาด้วย เพราะกกต.ก็เหมือนศาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการรับเรื่องเพื่อพิจารณา ที่หากยังไม่เข้าใจสำนวนหรือยังมีหลักฐานไม่เพียงพอก็ต้องส่งกลับให้สอบกันมาใหม่ ซึ่งก็มีหลายสำนวนเช่นกัน ที่ส่งกลับให้สอบเพิ่มเติม แต่สุดท้ายส่งกลับมาระบุว่าหาพยานไม่เจอ พยานไม่กล้ายืนยัน มีบางสำนวนขอถอนสำนวนออก บางสำนวนก็มีการเร่งรีบพิจารณาให้เสร็จโดยเร็ว “หากนักการเมืองหรือผู้สมัครคนใดมีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนว่า มีเจ้าหน้าที่ของกกต.เรียกรับสินบน ก็ขอให้แจ้งกับกกต. เพราะกกต.ไม่ต้องการให้เกิดข้อครหาในเรื่องของการวิ่งเต้นสำนวน เรื่องนี้อยากให้มีความชัดเจนอย่ากล่าวหากันลอยๆ กกต.ก็อยากให้มีสักเรื่องที่ให้เป็นกรณีตัวอย่าง เพราะกกต.จะอยู่ไม่ได้ถ้าประชาชนไม่ไว้วางใจ และเจ้าหน้าที่จะมาทำลายองค์กร ทำลายยุ้งข้าวตัวเองเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องยุบองค์กรนี้ไปซึ่งก็เป็นเพราะฝีมือของพวกท่านเองไม่ใช่กกต. ”

**เสนอตรวจสอบทรัพย์สินเจ้าหน้าที่
นางสดศรี ยังกล่าวด้วยว่า ใครที่เคยออกมาระบุ ว่า ขอให้จะมีตรวจสอบทรัพย์สินของ กกต.นั้น ตนก็อยากขอให้มีการตรวช้จสอบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่กกต.ด้วย ว่า มีใครทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือไม่ ส่วนการตีกอล์ฟในข่าวนั้น กกต.ก็ยืนยันว่า กกต. 5คน ไม่มีใครตีกอล์ฟเป็น และตั้งแต่มีการเลือกตั้งกกต.ทุกคนก็เก็บตัวและระวังตัวไม่ได้ไปพบกับใคร ไปงานไหนก็ต้องรีบกลับ และเชื่อว่าคงไม่มีใครกล้ามาวิ่งเต้นกับกกต.ทั้ง 5 และขณะนี้ก็มีตำรวจมาเฝ้าอยู่หน้าบ้านกันทุกคน ไปสอบถามดูได้ว่ามีใครเข้าออกบ้านหรือไม่ และตำรวจที่เฝ้าก็ต้องรายงานไปยังหน่วยงานต้นสังกัดอยู่แล้ว ส่วนสำนวนใดที่กกต.ได้พิจารณายกคำร้องไปแล้วผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็สามารถขอดูได้ ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ นางสดศรี กล่าวต่อด้วยว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนร้องกรณีการวิ่งเต้นสำนวนซึ่งกกต.ทั้ง 5 ได้พิจารณาลงโทษ และการไล่ออกไป และเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ไปร้องต่อศาลปกครอง แต่ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง โดยตนก็ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ของกกต.ว่า หากมีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ แล้วกกต.ต้องรับผิดชอบ กกต.ก็จะเรียกพนักงานมาเป็นจำเลยร่วมด้วย ไม่รับผิดเพียง 5 คน เพราะชั้นนี้ต้องเข้าใจว่า การทำทุจริต และมีการให้เงินให้ทองกับเจ้าหน้าที่จนเป็นเหตุให้สำนวนอ่อนหรือไม่

**ประชุมนัดพิเศษตรวจคำร้องคัดค้าน
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เปิดเผยว่า ได้นัดหมายประชุมนัดพิเศษเพื่อเร่งพิจารณาคำร้องคัดค้าน เกี่ยวกับคุณสมบัติส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่คณะกรรมการกกต.ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่นกกต.บางคนมองว่า บางรายที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมาแล้ว ก็ไม่น่าจะพิจารณาคำร้องเรื่องคุณสมบัติซ้ำอีก แต่ในส่วนตัวกลับมองว่า หากรายที่คุณสมบัติส.ส.ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบ แต่เมื่อยังไม่ได้ประกาศรับรองผลก็น่าจะพิจารณาได้ด้วย จึงต้องมีการลงมติกันอีกครั้ง รวมทั้งจะยกยอดการพิจารณาคุณสมบัติส.ส.อีกราว 10 กว่ารายที่ค้างการพิจารณามาจากสัปดาห์ที่แล้วเข้าสู่ที่ประชุมด้วย โดยทางกกต.จะตรวจสอบเท่าเทียมกัน ไม่ได้มองว่าจะต้องเป็นเฉพาะแกนนำนปช. เท่านั้น และถ้าจำเป็นอาจจะต้องเปิดการประชุมพิเศษในวันศุกร์ มั่นใจว่าจะรับสองส.ส.ได้ร้อยละ 95 ตามเวลาที่กำหนด

** ทนายตู่ ยื่นหลักฐานกกต.
วันเดียวกันนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมกับอนุกรรมการสืบสวนฯกรณีคุณสมบัติของนายจตุพร โดยนายวิญญัติกล่าวว่า สาเหตุที่นำหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมเนื่องจากวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา อนุกรรมการฯของกกต.เดินทางไปพบนายจตุพร ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับให้นายจตุพรยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรค และหลักฐานอื่นๆ ก่อนเวลา12.00น. ของวันที่ 26 ก.ค. ตนจึงนำเอกสารยื่นต่อกกต.ประกอบด้วย 1.ระเบียบของพรรคเพื่อไทยในกรณีการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ที่ไม่ระบุการว่าการถูกจำคุกจะทำให้สิ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากผู้ร้องได้ร้องในประเด็นดังกล่าว 2.คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจากศาลอาญา 3.เหตุจำเป็นอันไม่สามารถไปเลือกตั้งได้ของนายจตุพรที่ออกโดยสำนักงานเขตวังทองหลาง และ4.ข้อกฎหมายในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 40 ประกอบมาตรา 45 ที่ระบุว่าอำนาจการพิจารณาในคุณสมบัติผู้สมัครของกกต.จะสิ้นสุดลงในวันเลือกตั้ง กกต.จึงไม่มีอำนาจในการพิจารณาคุณสมบัติของนายจตุพรอีก

**พท.โวยผู้ใหญ่ ปชป.ตักเตือนลูกพรรค
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีกลุ่มนปช.และกลุ่มบ้านเลขที่ 111 เป็น 3 ประสานในการกดดันการทำงานของ กกต. ว่า เป็นเรื่องเท็จ เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้ชื่นชมการทำงานของกกต.มาโดยตลอด ทั้งนี้ ตนคิดว่าคนที่เป็นฝ่ายกดดัน กกต.น่าจะเป็นนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า อีกทั้งยังมองว่าเป็นการแบ่งบทกันเล่นด้วย ตนจึงขอให้ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ เรียกนายเทพไท และทีมกฎหมายไปตักเตือนด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น