หลังจากออกงานวิจัยอัปยศปูทางนิรโทษ-ล้มคดี คตส. จนแผ่นดินไหวเกินระดับ 8 ริกเตอร์สะเทือนไปถึงที่ตั้งสถาบันพระปกเกล้า สั่นคลอนถึงจิตวิญญาณเสรีทางวิชาการ ให้ผู้คนโจทย์ขานตั้งคำถามว่า
เป็นการเปิดประตูให้โจรปล้นหลักการประเทศใช่หรือไม่?
ยิ่งในเวทีเสวนาที่วัฒนา เมืองสุข ล็อบบี้ยิสต์ปรองดอง บรรจงสร้างฉากตบตาชาวไทยและชาวโลกโดยใช้งานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้ามาเป็นเครื่องมือให้อธรรมทำลายล้างระบบยุติธรรมไทย มิได้เป็นไปตามคาดที่หวัง
เพราะถูกชำแหละงานวิจัยแบบฉีกทิ้งทีละหน้าส่องไฟสปอตไลท์ให้เห็นถึงความมั่ววิชาการเพื่อนักโทษพ้นผิด
ขนาด วุฒิสาร ตันไชย หัวหน้าคณะผู้วิจัย หน้าซีดเหลือไม่ถึงนิ้ว นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเวที เพราะถูกกระชากหน้ากากให้สังคมเห็นว่า งานตัดแปะนี้ทำขึ้นมาเพื่อ คืนความเป็นธรรมให้นักโทษด้วยการทำลายระบบยุติธรรมไทย ชนิดที่เจ้าของผลงานชิ้นโบว์แดงแสลงใจสังคม ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
เมื่อจำนนด้วยหลักฐานว่า วุฒิสารและคณะมีเจตนาที่จะ ปรองดองกับทักษิณ ชินวัตรแต่ปองร้ายร้ายกับหลักนิติรัฐของบ้านเมือง
วุฒิสารและพวกก็เลยตีชิ่งเพื่อหนีตายจากสถานะจำเลยในสังคม ด้วยการร่อนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ทำท่าขึงขัง ขู่ถึงขั้นจะถอนงานวิจัยอัปยศไม่ให้ถูกคนสติวิปลาศเอาไปใช้ประโยชน์
หากมองมิติเดียวหลายคนอาจเชื่อว่า ต่อมสำนึกดีได้กระตุ้นและปลุกเร้าจนเจ้าของงานวิจัยกลับตัวกลับใจแล้ว แต่หากมองลึกลงไปจะเห็นพิรุธที่ส่อเค้าว่า
บางคนกำลังเล่นแผนซ้อนแผนปาหี่หลอกคนไทยอีกรอบ เพื่อหนีความรับผิดชอบ ซึ่งต้องขอบอกว่าเหมือนจะเนียนแต่ไม่เนียน !
จดหมายเปิดผนึกที่คนทำวิจัยเขียนขึ้นมานั้นมิใช่เพื่อปกป้องไม่ให้หลักการของประเทศถูกย่ำยีด้วยการใช้เสียงข้างมากลากความปรองดอง แต่เนื้อหาทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะคุ้มกัน วุฒิสารและพวกรวมทั้งสถาบันพระปกเกล้าเท่านั้น
กล่าวเช่นนี้ไม่ได้มีอคติต่อ วุฒิสาร แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของ วุฒิสาร ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขียนไว้เองในจดหมายเปิดผนึกว่า คณะผู้วิจัยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการใช้คะแนนเสียงข้างมากของกรรมาธิการฯหรือสภา มากำหนดแนวทางการสร้างความปรองดองเพราะจะเป็นเพียงการสร้าง
“ความยุติธรรมของผู้ชนะ”
สวยหรู ดูดี แต่มาสะดุดตรงที่ หลังจาก วุฒิสาร ยื่นจดหมายเปิดผนึกแล้ว รับทราบด้วยว่า กรรมาธิการฯจะไม่มีการเปิดเวทีเวทีเสวนา ไม่ขยายเวลาการทำงานของกรรมาธิการในการสร้างบรรยากาศปรองดองตามที่คณะผู้วิจัยและ กรรมาธิการฯพรรคประชาธิปัตย์เสนอ แต่จะสรุปรายงานกรรมาธิการซึ่งอ้างถึงทางเลือกนิรโทษ-ล้มคดี คตส.เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 15 เมษายนนี้
แม้ว่าจะมีการตัดตัวเลขที่เคยอ้างไว้ว่ามีจำนวน 23 เสียงเห็นด้วยกับการนิรโทษให้พวกเผา ปล้น ฆ่า ไม่มีความผิดและ 22 เสียง ให้ล้มคดี คตส.ทั้งหมด โดยไม่ให้คดีทุจริตเหล่านั้นมาพิจารณาใหม่อีกออกไปแล้ว แต่อย่าลืมว่า
ข้อเสนอทั้งสองเรื่องที่เป็นธงโบกสะบัดมาจาก “นายใหญ่”นั้นย่อมได้รับการตอบสนองจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาเป็นคำตอบสุดท้าย
เมื่อกรรมาธิการฯปรองดองยืนยันที่จะนำเรื่องนี้เข้าสภา แทนการขยายเวลาทำงานต่อ ก็ย่อมชัดเจนว่าตั้งใจใช้สภายุติเรื่องนี้แทน กรรมาธิการปรองดอง ซึ่งถือว่าชงหวานเจี๊ยบเสร็จแล้วรอให้เสียงในสภามายกซดเท่านั้น
ตลกร้ายที่ วุฒิสาร เล่นให้คนไทยดูคือ ออกมาบอกว่า “สบายใจในระดับหนึ่งที่กรรมาธิการไม่ใส่เสียงข้างมากลงไป”
ถามว่า มันใช่คำตอบที่ต้องการตามที่จดหมายเปิดผนึกระบุหรือไม่
คำตอบ คือ ไม่ เพราะว่าเวทีเสวนาไม่มี การสร้างบรรยากาศปรองดองไม่เกิด และมีแนวโน้มที่จะใช้เสียงข้างมากในสภามาสร้างความยุติธรรมของผู้ชนะ ซึ่งในจดหมายเปิดผนึกก็ระบุชัดว่าไม่เห็นด้วย
ถ้า วุฒิสาร จริงใจและจริงจังที่จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กรรมาธิการปรองดองฯนำไปใช้ประโยชน์ ต้องขอถอนงานวิจัยกลับมา ไม่ใช่บอกว่าสบายใจ เพราะกรรมาธิการปรองดองฯมิได้ทำตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัยแต่อย่างใด
นอกจากช่วยหาทางลงให้ วุฒิสารและพวก ได้ใช้จดหมายเปิดผนึกนี้มาเป็นผงซักฟอกให้ตัวเองพ้นผิดแล้วโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้สภาแทน
ส่วนสถาบันพระปกเกล้าก็จะอ้างว่าไม่ได้ปกป้องโจรทำเต็มที่แล้ว แต่สภาไปละเมิดเจตนารมณ์ของคณะผู้วิจัยเอง
วิน : วิน ทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งได้งานวิจัยสั่ว ๆ มาอ้าง มั่ว ๆ ว่านี่คือข้อเสนอทางวิชาการเพื่อนิรโทษล้มคดี
อีกฝ่ายหนึ่งมีทางลงว่าท้วงติงอย่างแข็งขันแล้ว เท่ากับว่าร่วมมือเป็นผงซักฟอกความผิดให้กันและกัน ถือเป็นการสมคบคิดแหกตาคนไทยอีกครั้ง
เปรียบเทียบง่าย ๆ ให้เห็นภาพว่า วุฒิสารและสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้สร้างเรือ มีคนออกมาท้วงติงจับผิดได้ว่าเรือที่ถูกสร้างขึ้นมีห้องลับซุกอาวุธที่จะทำให้โจรใช้เรือนั้นไปปล้นหลักการประเทศ
วุฒิสาร ทำท่าตกใจและบอกว่า จะไม่ยอมให้มีการปล้นเกิดขึ้น แต่ดันทิ้งเรือซุกอาวุธให้โจรเอาเข้าสภาใช้เสียงข้างมากลากอาวุธในเรือมาฆาตกรรมระบบยุติธรรมไทยเพื่อนักโทษหนีคดี
ถามว่า อย่างนี้เรียกว่า วุฒิสารและคณะในนามสถาบันพระปกเกล้าร่วมปล้นด้วยไหม
ยังพอมีเวลาถ้า วุฒิสาร ตั้งใจจะยับยั้งไม่ให้มีการนำงานวิจัยพิกลพิการนี้ไปใช้ มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือ ถอนงานวิจัยออกมา ปมนี้ก็จะถูกคลายไปโดยอัตโนมัติ
ที่สำคัญกว่านั้นคือ งานวิจัยนี้ต้องปรับปรุงอีกมากทั้งเรื่องข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน และการกำหนดโจทย์ที่มุ่งปรองดองกับนักโทษมากกว่าที่จะปรองดองกับคนไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้าต้องกลับไปทบทวนเนื้อหาด้วย เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในฐานะสถาบันทางวิชาการอันเป็นที่พึ่งทางปัญญาให้สังคมไทยได้
เว้นเสียแต่ว่า ตั้งใจสร้างงานวิจัยกระดาษชำระที่จัดทำขึ้นด้วยเป้าหมายนิรโทษให้โจรแล้วขยำทิ้งอย่างไร้คุณค่า
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับ วุฒิสารและคณะในนามสถาบันพระปกเกล้า จงใจทิ้งเรือไว้ให้โจรปล้น ก็สมควรที่จะตกเป็นจำเลยร่วมในประวัติศาสตร์การเมืองหน้านี้