ผ่าประเด็นร้อน
เป็นธรรมเนียมเหมือนกันหลังจากนักวิชาการ “เสื้อกั๊ก” ธีรยุทธ บุญมี ออกมาวิพากษ์การเมืองก็ต้องวิพากษ์กลับไป มีการขยายความเพิ่มเติมเสริมแต่งในสิ่งที่บิดเบี้ยว ไม่ตรงกับความจริงที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าในทุกครั้งที่เขาออกมาก็ย่อมมีคนเงี่ยหูฟังอยู่เสมอ โดยเฉพาะเครือข่ายทักษิณ เพราะถือว่านี่คือ “ขาประจำ” ของพวกเขา
แต่ปีนี้ ถ้าพิจารณากันโดยภาพรวมก็ต้องยอมรับว่าเขาวิพากษ์ “กวาด” ดะไปหมด เหมือนกับว่าขึ้นไปนั่งบนภูสูงแล้วมองลงมาข้างล่าง ได้เห็นปรากฏการณ์การห้ำหั่นสัปยุทธ์กันแต่ละฝ่าย ซึ่งในสายตาของเขามองว่าสถานการณ์ในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่แต่ละฝ่ายกำลังรอท่าที ยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิดการปะทะรอบใหม่ เพราะยังต้องรอเงื่อนไขบางอย่าง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี ถึงตอนนั้นจะต้องมีการลงประชามติ เชื่อว่าถ้าจะเกิดขึ้นก็น่าจะเกิดเรื่องเอาตอนนี้ ประมาณนั้นแหละ
อย่างไรก็ดี สำหรับในมุมมองภายใต้เสื้อกั๊กยังถือว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นตอของทุกปัญหาตั้งแต่อดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและอนาคต
แต่สิ่งที่ ธีรยุทธ มองว่า สังคมไทยแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ หรือศูนย์อำนาจ คือ “อนุรักษนิยม” กับ “รากหญ้า” และมองว่า กลุ่มหลังกำลังขยายตัวเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายแรกกำลังย่ำอยู่กับที่และถดถอยลง ซึ่งฝ่ายแรกก็มีพวก ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง ตุลาการ และพวกอนุรักษนิยมสถาบัน ขณะที่อีกฝ่ายส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคนยากจนในชนบท กลุ่มพ่อค้ารายย่อย เขาว่าแบบนั้น
ซึ่งบางทีมุมมองของ ธีรยุทธ “เหมือนจะถูก” แต่ก็ผิดเพี้ยนไม่เข้าใจ เพราะตอนหนึ่งก็บอกว่า “ทักษิณเป็นได้แค่ผู้นำทางการตลาด” ต้องการให้รากหญ้ามาซื้อสินค้าของเขา หรือไม่ใช่ผู้นำประชาธิปไตย หรือมีเป้าหมายในทางอุดมการณ์ แต่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดการปะทะเกิดความแตกแยกเพื่อให้เป้าหมายให้เข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีซุกหุ้น ซุกภาษี ความโลภในทรัพย์สินและอำนาจที่ไม่รู้จักพอ อย่างนี้เหมือนกับเข้าใจ
แต่ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่สองศูนย์อำนาจอย่างที่เขาว่าเอาไว้ เพราะมันย่อมไม่มีขั้วรากหญ้า หรือศูนย์อำนาจรากหญ้า ซึ่งในความเป็นจริงแม้คำว่ารากหญ้าจะมีอยู่จริง แต่ในความหมายของคำว่า ศูนย์อำนาจ หรือ “พลังรากหญ้า” นั้นในเวลานี้มันไม่มีจริง แต่ที่เห็นอยู่ก็คือ “พลังของรากหญ้าที่ถูกทักษิณหลอกใช้” เพื่อให้ตัวเองกลับมามีอำนาจ และสร้างพลังต่อรองกับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
นี่จึงเป็นที่มาของการโต้แย้งให้เห็นว่ามันไม่มีจริง และการวิเคราะห์ของ ธีรยุทธ นั้นมันผิดเพี้ยนและขัดแย้งกันในตัวเอง เพราะตอนหนึ่งบอกว่าทักษิณ เป็นได้แค่ผู้นำด้านการตลาดที่ต้องการให้รากหญ้ามาอุดหนุนสินค้าของตัวเอง ทำเพื่อสนับสนุนความโลภของตัวเอง แต่อีกบทหนึ่งกลับบอกว่านี่คือกลุ่มศูนย์อำนาจรากหญ้าที่กำลังเติบโต ซึ่งถ้าบอกว่า ทักษิณ กำลังสร้างแนวร่วมประชาธิปไตยจอมปลอมมาหลอกใช้แล้วรุกคืบเข้ามา อย่างนี้น่าจะใกล้ความจริงมากกว่า เพราะในกลุ่มรากหญ้าในปัจจุบันยังไม่มีพลัง ไม่สามารถบริหารจัดการด้วยตัวเองได้ และในลักษณะแบบนี้ไม่มีทางชนะ เพราะคนที่ชนะคือ ทักษิณ และครอบครัวของทักษิณ เท่านั้นที่ได้ทุกอย่าง
ขณะที่นโยบายประชานิยมที่ทักษิณนำมาหลอกต้มนั้นมันก็เป็นแค่สิ่งเสพติด เป็นมายาภาพลวงตาเท่านั้น เพราะในที่สุดมันก็สร้างความล้มเหลวเหมือนกับที่เคยเกิดกับหลายประเทศที่เคยนำมาใช้ก่อนหน้านี้
ดังนั้น ถ้าถามว่ารากหญ้านั้นมีจริงหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามี แล้วก็มีเยอะเสียด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่พลัง เพราะมัน “จนกรอบ” จะตายกันหมดแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมาบรรดาคนที่ขึ้นมานำก็ไม่ได้จริงใจ มีแต่เข้ามาหาผลประโยชน์นำพลังของพวกเขาไปต่อรองหาประโยชน์เรื่อยมา และมาในยุคทักษิณ ที่มีการบริหารจัดการในเรื่องการตลาดการโฆษณาชวนเชื่อมาสร้างแนวร่วมจนเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีถ้าบอกว่าคนกลุ่มนี้กำลังขยายตัวจนชนะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เกินจริง เพราะถ้าอย่างที่เป็นอยู่คนที่ได้ทุกอย่างก็ไม่ใช่พวกเขาแน่นอน
ขณะเดียวกัน การเติบโตของคนพวกนี้ล้วนมาจากการโฆษณาชวนเชื่อ การสร้างภาพ ไม่ต่างจากการ “หลอกต้ม” คนรากหญ้าที่ไม่รู้เท่าทัน แต่ในที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏออกมาให้เห็นในลักษณะ “ประจาน” เรื่อยๆ เหมือนดังที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังประสบอยู่ในเวลานี้ นั่นคือความล้มเหลวในการบริหาร ซึ่งแม้ว่าต้องใช้เวลาในการละลายความเชื่อ ก็ไม่เป็นไร ดังนั้นถ้าให้สรุปก็ต้องยืนยันว่าความนิยมของ ทักษิณ กำลังถดถอย ไม่ใช่เพิ่มขึ้น แม้ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่าอาจจะไม่ใช่ “ลงเร็ว” แต่รับรองว่าไม่ฟีเวอร์เหมือนเก่าแน่นอน
การที่จะปราบ ทักษิณ ได้บางครั้งไม่ต้องไปทำอะไรมาก เพียงแต่ต้องปล่อยให้เขาได้ “เปลือย”ตัวตนออกมาให้เห็นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีคนชี้ให้เห็นแบบประกบติด และที่ผ่านมาเป็นเพราะเรามีคณะรัฐประหาร มีผู้นำรัฐบาลที่อ่อนแอ “หน่อมแน้ม” คิดแต่จะไป “ปรองดอง” กับโจรที่โลภไม่รู้จักพอ บางครั้งยังหวังในทรัพย์สินของโจรเสียอีก มันก็ยิ่งทำให้ไปเพิ่มพลัง และไปบิดเบือนเกิดความสำคัญผิดจนเกินเหตุ อย่างที่ ทักษิณ กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้!!