xs
xsm
sm
md
lg

เตือนบีบกองทัพ-ศาล!พังเร็ว แม้วต้องติดคุก "ธีรยุทธ"ยกเทียชั้น"ป๋า-สฤษดิ์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - "ธีรยุทธ" คืนเวที วิเคราะห์วิกฤติชาติยังไร้ทางออก ยก "ทักษิณ" เซียนการตลาด กล่อมรากหญ้าอยู่หมัด มีอิทธิพลเทียบ "จอมพลสฤษดิ์-ป๋าเปรม" ต้องกลับมาติดคุกสู้คดี จะช่วยเชียร์ให้ได้รับนิรโทษฯ อย่าเร่งเกม บีบกองทัพ-ศาล หวั่นมวลชนเผชิญหน้ายืดเยื้อ สะกิด"สุเมธ-ประเวศ -อานันท์" ทำงานหนักขึ้น พิทักษ์สถาบันเบื้องสูง แขวะ“ปู” ได้รางวัลผู้นำแต่งตัวดีแน่ แนะ "มาร์ค" เลิกหยุมหยิม

วานนี้ (18 มี.ค.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย แถลงข่าวในหัวข้อ “การวิเคราะห์การเมืองไทย แนวโน้มของวิกฤตปัจจุบัน” โดยนายธีรยุทธ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอเรียกการเมืองปัจจุบันว่าเป็น“ยุคทักษิณ การเมืองรากหญ้า ประชานิยม”

ทั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจว่า แม้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะหลบหนีคดีอยู่นอกประเทศ แต่ว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งตลอด และขยายฐานรากหญ้าคนเสื้อแดง รวมพลไปเลือกตั้ง หรือชุมนุมประท้วงได้กว้างขวาง ดังนั้นต้องถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักการเมืองที่มีบารมีในช่วงหลังปี 2500 ร่วมกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ จะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้น หรือประเทศล่มจม เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันอีกพอสมควร

" ส่วนตัวผมอยากให้คุณทักษิณกลับเมืองไทย เพราะคิดถึงเพื่อเก่า ขาประจำซึ่งกันและกัน คุณทักษิณเคยท้าพนันผมผ่านสื่อ เมื่อราวปี2546 ว่า แกจะหลุดออกจากอำนาจ หรือเสื้อกั๊กของผมจะขาดก่อนกัน แต่ตอนนี้แกก็ออกไปจากประเทศเกือบ 6 ปีแล้ว แต่เสื้อกั๊กผมก็ขาดแล้วเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากัน ผมคิดว่าถ้าคุณทักษิณกลับมารับโทษ หาทางสู้คดีอย่างลูกผู้ชาย ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เห็นใจ อยากให้มีนิรโทษกรรม ผมจะช่วยถ้าหากคุณทักษิณกลับมายอมรับติดคุก เพื่อเป็นการรักษาระบบยุติธรรมของบ้านเรา" นายธีรยุทธ กล่าว

นายธีรยุทธ กล่าวถึงประเด็นวิกฤติการเมืองไทย ที่มีความรุนแรงว่า เกิดจากการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย เพราะมองว่าไม่ใช่ของจริง เช่น ฝ่ายอนุรักษ์นิยม มองเสื้อแดงว่าไม่มีตัวตนเพราะถูกจ้างมา ไร้การศึกษา ขณะที่ฝั่งรากหญ้ามองว่า นโยบายสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนโครงการต่างๆ นโยบายการปราบปรามยาเสพติด ได้ช่วยคนจน เป็นการช่วยเหลือทางวัตถุโดยตรง และจริงจังแก่ชาวบ้าน ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ยอมรับคนเสื้อเหลือง มองว่าเป็นพวกที่ไม่มีเหตุผล ความคิดคลั่งชาติมากเกินไป

นายธีรยุทธ กล่าวถึง รากเหง้าวิกฤติของปัญหาประเทศ ว่า

1. เกิดจากการรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป จนศูนย์กลางเอาไม่อยู่ กล่าวคือ รัฐเชิดชูความเป็นส่วนกลาง และกดเหยียดความเป็นอยู่เดิม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ความน้อยเนื้อต่ำใจในหลายๆ ด้าน ยังฝังลึก ทุกอย่างรวมศูนย์ที่รัฐ ทั้งอำนาจและทรัพยากร กระทั่งชนชั้นนำที่เข้ามามีอำนาจการเมือง ล้วนหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากรัฐทั้งสิ้น ขณะที่ชาวบ้านเกือบไม่เคยได้อะไรจากรัฐ

ทั้งนี้ ความไม่ชอบธรรมเนื่องจากการรวมศูนย์มากเกินไป ส่งผลในทุกมิติ อาทิ ความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ คุณภาพชีวิต อำนาจในการใช้ทรัพยากรพื้นฐาน สุขอนามัย ประวัติศาสตร์ความภาคภูมิใจ ภาษาขนบธรรมเนียมท้องถิ่นหายไป

2. ความต่างในค่านิยม ความคิดพื้นฐาน ระหว่างรากหญ้ากับชนชั้นนำ ที่แตกต่างกัน ตอกย้ำความไม่เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น

นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า หากจะเข้าใจปรากฏการณ์คนเสื้อแดงได้ดีขึ้น เริ่มจากการมองทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยให้ลึกระดับโครงสร้าง โดยมองเห็นวงจรการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ การเมือง ที่ซ้อนทับอยู่ คือชนบทเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นแหล่งที่มาที่ชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย ส่วนเมือง เป็นแหล่งผลิตทรัพยากร และเป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตย และเพื่อให้วงจรนี้ดำรงต่อไป ก็มีการครอบงำชาวบ้าน โดยวาทกรรมความสำคัญของศูนย์กลาง ของประชาธิปไตยคนดี และมาตรการสุดท้าย คือการรัฐประหาร

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านรู้ดีว่าอำนาจต่อรองทำให้เกิดผลประโยชน์ได้ เมื่อคนเมืองต้องการให้พวกเขาเลือกตั้ง เกิดการซื้อ-ขายเสียงอย่างเป็นระบบ การของบโครงการเข้าหมู่บ้าน จึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2521 และขยายตัวเรื่อยมา และในมุมของชาวบ้าน นี่คือการแบ่งปัน ขอคืนทรัพยากรของชาวชนบท ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของการเมืองรากหญ้า จึงเสมือนเป็นกระบวนการย้อนกลับที่จะดึงเอาอำนาจ ความมั่งคั่ง ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ กลับคืนสู่ชนบท

** ขัดแย้งรุนแรงหากบีบกองทัพ-ศาล

นายธีรยุทธ กล่าวว่า การเมืองไทยกำลังก่อรูปเป็น 2 ศูนย์อำนาจ คือ ศูนย์อำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับศูนย์อำนาจรากหญ้า ซึ่งเป็นภาวะที่น่าสนใจ และน่าเป็นห่วง เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ผ่านมา เพราะภาวะ 2 ศูนย์อำนาจ จะแบ่งประเทศเป็น 2 ส่วน และแต่ละส่วนมีฐานที่มั่น ที่มาความชอบธรรม การควบคุมอำนาจที่แตกต่างกัน

อาทิ กลุ่มอนุรักษ์นิยม จะควบคุมสังคมในด้านความชอบธรรมจากจารีตประเพณี คุมชนชั้นกลาง ตุลาการ จิตวิญญาณ ชนชั้นกลาง ชั้นสูง ชาวบ้านที่มีความคิดแนวอนุรักษ์นิยม นามธรรม ความดี

ส่วนกลุ่มรากหญ้า ควบคุมได้ในเชิงการบริหาร งบประมาณ การออกกฎหมาย การเลือกตั้ง ได้รับความนิยมจากชาวบ้าน รากหญ้า ชนบท นักธุรกิจผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น

ทั้งนี้เป็นที่มาของความต่างระหว่างประชาธิปไตยกินได้ของชาวบ้าน กับประชาธิปไตยดูได้ ของชนชั้นสูง อย่างไรก็ตามมองว่ากลุ่มรากหญ้านับวันยิ่งขยายตัวเร็วขึ้น ขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่กับที่ และยิ่งเสื่อมถอยลง

นายธีรยุทธ ยังได้กล่าวในส่วนของบทสรุปว่า ในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะยังคงไม่มีทางออก แต่จะมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อทางออกในระยะยาว พร้อมอธิบายว่าปัญหาฝังลึกมานาน ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าถูกเอาเปรียบ ไม่มีปากเสียงมานาน ขณะที่อีกฝ่ายศรัทธาในสถาบันฯที่อยู่คู่บ้านเมืองมานาน ต่างฝ่ายระแวงว่า อีกฝ่ายจะล้มล้างหรือซ้ำเติมฝ่ายตน

ขณะที่การขยายตัวของขั้วระบอบทักษิณและรากหญ้า ก็มีโอกาสทำให้เกิดการแตกร้าวระดับโครงสร้างและสถาบันฯมากขึ้น และจะขัดแย้งรุนแรงหากขยายไปสู่สถาบันกองทัพ และศาล

อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองอาจจะผ่านความรุนแรงไปได้ หากพ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ไม่พยายามกดดันให้เกิดการเผชิญหน้าของมวลชน และใช้เวลาในการแก้ไขความไม่ถูกต้องโดยมุ่งในเชิงโครงสร้างและค่านิยม

** "สุเมธ-ประเวศ-อานันท์" ต้องเวิร์กกว่านี้

นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า สังคมจำเป็นต้องมีการปรับกระบวนทัศน์ หรือแม่บทความคิดใหม่ ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การปฏิรูปปรับปรุงสถาบัน องค์กรสำคัญต่างๆ อาทิ สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่นักวิชาการที่ใกล้ชิดราชสำนัก อาทิ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส หรือนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ควรที่จะค้นคว้าเพื่อสร้างบความรู้ที่ถูกต้องว่า สถาบันฯควรดำรงอยู่ในระบบเสรีประชาธิปไตยและโลกาภิวัฒน์อย่างไร

"ผมไม่เห็นด้วยกันนักวิชาการอนุรักษ์สุดขั้ว ที่พยายามหวนกลับมายกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ มีพระราชอำนาจทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งเป็นการย้อนยุค สถาบันกษัตริย์ที่จะดำรงอยู่ในสังคม และโลกยุคข่าวสารได้อย่างยั่งยืน ต้องเป็นสถาบันฯที่มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอย่างแท้จริง" ผอ.สถาบันสัญญาฯ กล่าว

นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า แม้ว่านโยบายประชานิยมจะมีส่วนดีในหลายด้าน แต่ก็ล้มเหลวที่สุดในประเทศที่เคยใช้มาแล้ว เพราะทำให้เกิดปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน และเงินเฟ้อที่รุนแรง ดังนั้นสังคมต้องช่วยกันกดดัน วิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ที่จะพัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบนโยบายนี้ในทางที่ถูกต้อง

ทั้งนี้ผู้ที่ควรมีส่วนร่วมคิดผลักดันในเรื่องเหล่านี้ ควรที่จะเป็นนักวิชาการเสื้อเหลือง - เสื้อแดง และนักวิชาการทั่วไป ที่ไม่ยึดแนวสุดขั้วจนปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง อีกทั้งภาคธุรกิจที่อยู่ตรงกลางความขัดแย้ง แต่มีผลได้เสียมากที่สุดก็ควรที่จะมีบทบาทชดเชยสิ่งที่ควรทำ และไม่ได้ทำ ด้วยการลงทุนสร้างความยุติธรรม บรรยากาศ ค่านิยมประชาธิปไตยให้กว้างขวางที่สุด

นายธีรยุทธ กล่าวย้ำอีกว่า สิ่งที่สังคมไทยต้องทำ เพื่อทางออกในระยะยาวนั้นคือ ทุกฝ่ายต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น ขณะเดียวต้องเคารพสิทธิ และกล้าใช้สิทธิของตัวเองด้วย โดยไม่ควรให้ฝ่ายใดทำความรุนแรงเกินเหตุ อาทิ การยึดทำเนียบรัฐบาล การล้มประชุมระดับนานาชาติ การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ รวมไปถึงการยึดสี่แยกราชประสงค์ จนเกิดการปราบปราม และเผาราชประสงค์อีกต่อไป และแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะอ้างว่าทำด้วยเจตนามุ่งหมายที่ดี แต่เมื่อเกิดผลเสียหายขึ้นแล้ว ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเท่าเทียม ส่วนจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ สังคมต้องร่วมกันพิจารณา

**"แม้ว"ใช้การตลาดกล่อมรากหญ้า

ในส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายธีรยุทธ มองว่าไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าที่แท้จริง จะเห็นได้จากที่ผ่านมาไม่เคยปราศรัยในประเด็นการสร้างความยั่งยืนใดๆ มีเพียงการอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ดังนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นผู้นำการตลาด มากกว่าผู้นำประชาธิปไตย มุ่งหวังเพียงให้รากหญ้ามาซื้อสินค้าของตนเองอย่างสม่ำเสมอมากกว่าให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ หรือเป็นขบวนการการเมืองที่มีเป้าหมายอุดมการณ์ เท่ากับว่า ต้องการให้ประเทศแตกแยก ขัดแย้งใช้ความรุนแรงต่อกัน เพื่อแก้ปัญหาซุกหุ้น ซุกภาษี ความไม่รู้จักอิ่มในทรัพย์สินและอำนาจของตัวเองเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในขณะนี้ ที่อาจส่งผลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และการเมืองไทย นายธีรยุทธ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าในอนาคตจะมีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรงมากขึ้น ดังนั้นสังคมไทยต้องเปิดพื้นที่เสรีภาพในการร่วมกันรับผิดชอบประเทศในทุกมิติ ทุกปัญหา ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่เสรีภาพดังกล่าวที่ต้องมีการพูดถึง โดยตนจะสนับสนุนให้มีการพูด หรือวิเคราะห์ปัญหาในทางกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในระบบเสรีประชาธิปไตย และในโลกาภิวัฒน์ เพื่อเสนอแนะหนทาง

ส่วนเรื่องมาตรา 112 นั้น หากพูดในเชิงหลักการ เบื้องต้นอยากให้นักคิดนักวิชาการ ที่มีความรู้ในเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องสถาบันฯ และการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ มาถกเถียงกันถึงสถานะ บทบาทหน้าที่อำนาจ ภารกิจให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ ตนจะออกมาพูดในเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกครั้งในเร็วๆ นี้

" ถ้าเรื่องมาตรา 112 โดยตรงนั้น โดนส่วนตัวผมรู้สึกเป็นปลายทางของการถกเถียง ต้องให้มีการถกในหลักการใหญ่ๆ ให้ได้ก่อน และปัญหาเหล่านี้จะได้คำตอบ ก่อนอื่นนักกฎหมายต้องช่วยกันนิยามคำว่า พระบรมเดชานุภาพ คืออะไร เพราะตอนนี้พูดกันคนละทาง ทั้งตำรวจ ศาล นักวิชาการ และชาวบ้าน หากไม่รู้ความหมายจะตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นการหมิ่น ที่ไม่เข้าใจชัดเจนจะถูกตีความหลากหลาย ผมมองเห็นทางหากมองภารกิจหน้าที่ของสถาบันฯ จะรู้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นอย่างไร และจะไม่ถูกใช้มั่วๆ หรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง" นายธีรยุทธกล่าว

เมื่อถามถึงหากฝ่ายการเมืองใช้หลักการตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่าน ประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางไหน นายธีรยุทธ กล่าวว่า ต้องถือว่าน่าผิดหวัง รากหญ้าสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่มีอำนาจเชิงงบประมาณ หากใช้เพื่อการตื่นตัวในทางอำนาจ การบริหารทรัพยากรท้องถิ่น แต่หากใช้เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำจะเกิดผลเสียที่นักเศรษฐศาสตร์วิจารณ์เรื่องประชานิยม ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และเสียหายต่ออัตราแลกเปลี่ยน

** การเมืองร้อนหลังร่างรธน.เสร็จ

เมื่อถามต่อว่า ด้วยบรรยากาศการเมืองในปัจจุบัน จะนำไปสู่การนองเลือดหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อ เกิดปัญหาเป็นระลอกๆ อย่างในช่วงปลายปีนี้ หากสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( ส.ส.ร.) ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็เชื่อว่าจะมีฝ่ายที่ไม่ยอมร่วมลงประชามติด้วย และจะมีการรวมตัวรณรงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับ ซึ่งถึงตอนนั้น รัฐจะไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายจะมีมวลชนออกมาผลักดันในสิ่งที่ตนสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าจะมีมวลชนออกมาทั้งสองฝ่าย เพราะเชื่อว่าคนเบื่อ และอ่อนล้าแล้ว ดังนั้นทุกฝ่ายต้องไม่พยายามผลักดัน ควรให้เวลาช่วยเสาะหาหนทาง เพราะเมื่อเกิดความรุนแรงย่อยๆ สถานการณ์จะไม่หยุด จนหากมีรัฐประหารอีกครั้งประเทศไทย เราจะพังอย่างเด็ดขาด ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าคิดทำ

เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมองว่าไม่สามารถเกิดการปรองดองรอมชอมได้ในระยะเวลาอันสั้น นายธีรยุทธ กล่าวว่า หากเป็นความปรองดองที่ระบุว่า ให้เขียนนิรโทษกรรมคดีความทั้งหมดที่เกิดจาก คตส. และให้ผ่านรัฐธรรมนูญด้วยการลงประชามติ เชื่อว่าการคัดค้านจะมีพลังพอสมควร เพราะมีปัจจัยที่สะเทือนไปถึงระบบยุติธรรม จากที่หลายคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว หากทำ ก็เหมือนไปล้มล้างคำพิพากษาของศาล เป็นเรื่องที่มีน้ำหนักความรุนแรงของปัญหา

ประการต่อมา หากล้มล้างคดีความได้ ก็ต้องถือว่าเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์ที่ใช้ในการแก้ปัญหา คือรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เป็นเครื่องมือสุดท้าย และพลังอนุรักษ์นิยม ไม่สามารถนำมาใช้ ดังนั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะไม่ยอมในเรื่องนี้แน่นอน

** "ยิ่งลักษณ์"แชมป์แต่งตัวสวย

ผู้สื่อข่าวขอให้ประเมินถึงการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน นายธีรยุทธ กล่าวว่า มองว่าหากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยี่ยมคนต่างจังหวัดบ่อยๆ จะเป็นผลดีต่อคะแนนนิยม เพราะต้องยอมรับว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนที่แต่งตัวสวย ชาวบ้านเห็นแล้วชอบ เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทั้งคู่เป็นคนที่เป็นคนหนุ่ม คนสาว มีการศึกษาดี
" ผมขอเป็นหมอดูทำนายว่า คุณยิ่งลักษณ์ จะติดอันดับ 1 ในผู้นำที่แต่งตัวดีที่สุดในโลกในปลายปีนี้ และจะได้คะแนนนิยมเยอะมาก เพราะคนสวยแต่งตัวดี ยิ้มแย้ม ชาวบ้านจะรักมาก เรียกได้ว่าเป็นยิ่งลักษณ์โฟโต้จีนิก คือ ถ่ายรูปขึ้น ผมให้กำลังใจ และสนับสนุนให้ไปเยี่ยมชาวบ้านบ่อยๆ จะเป็นผล เพราะคน กทม.ไม่ชอบนายกฯเท่าไร ต้องไปหาฐานที่ต่างจังหวัด ส่วนคุณอภิสิทธิ์ เคยคิดจะตั้งฉายาว่า มาร์คเมาอู้ ที่พูดจนคนเมา จึงอยากแนะนำให้คุณอภิสิทธิ์ ปรับแนวทางมาเจาะประเด็นลึกๆ มากกว่า และควรที่จะเขียนบทความมากกว่าให้สัมภาษณ์ในประเด็นปลีกย่อยของอีกฝ่าย" นายธีรยุทธ ระบุ

**ซัด"ธีรยุทธ"อคติ 2 มาตรฐาน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเสวนาในหัวข้อ "การวิเคราะห์การเมืองไทย แนวโน้มของวิกฤตปัจจุบัน" ของนายธีรยุทธ บุญมี ว่าวิจารณ์การเมืองของนายธีรยุทธ เป็นเรื่องที่ดี แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าทำไมระยะเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมา 2 ปี ถึงไม่ออกมาวิจารณ์ ก่อนหน้านี้ ตนเคยประกาศหาคนหายไปแล้ว การทำตัวแบบผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้ เป็นการวิจารณ์แบบ 2 มาตรฐานหรือไม่

ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าการออกมาวิจารณ์ของนายธีรยุทธ จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งขอตั้งขอสังเกตกรณีที่อ้างว่าป่วย ของนายธีรยุทธ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่านานเกินไปหรือไม่ ป่วยการเมือง หรือมีคนของร้องไม่ให้ออกมาพูด

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายธีรยุทธ คือเสื้อกั๊กตกยุค ต้องถามว่าการวิเคราะห์วิจารณ์แต่ละครั้งทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ วิจารณ์บนจิตอคติ มีปมด้อยมาโดยตลอด นายธีรยุทธ ฉลาดเฉพาะการแต่งหนังสือ แต่โง่ในเชิงบริหารบ้านเมือง เก่งนัก ทำไมไม่ลงมาเล่นการเมือง การวิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นตัวปัญหา ทำบ้านเมืองไม่เดินหน้านั้น ไม่จริงแน่นอน เพราะอดีตที่ผ่านมา ผลงานปรากฏชัดว่า ทำความสำเร็จอะไรไว้บ้าง สร้างความเจริญไว้เยอะ ตอนพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ข้าวยากหมากแพง ทำไมไม่ออกมาวิจารณ์บ้าง ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน สะท้อนให้เห็นว่า เลือกข้างหรือไม่ วันนี้ตัวปัญหาไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นพวกที่อยู่หลังฉาก คอยเคลื่อนไหวการเมือง ถ้าพวกนี้หยุดสร้างความวุ่นวาย มันก็จบ ทำไมนายธีรยุทธ ถึงไม่วิจารณ์ข้อเท็จจริงตรงนี้บ้าง น่าจะวิจารณ์อะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น