ผ่าประเด็นร้อน
เคยแต่ด่าทอบิดเบือนกล่าวหาคนอื่น มาวันนี้ พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังติดหล่ม “ของแพง” เข้าเต็มเปา และยังมองไม่เห็นว่าจะหาทางออกให้คลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฝ่ายที่รับกรรมปลายทางก็คือชาวบ้านตาดำๆ นั่นเอง
เวลานี้หันมองไปทางได้เห็นการจับกลุ่มวิจารณ์ เรื่องปัญหาข้าวของแพง และนับวันเสียงเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นกระแสความไม่พอใจใหม่ ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร น่าจะรับรู้ได้เร็ว เพราะเติบโตก้าวหน้า หากินมากับเรื่อง “การตลาด” มานาน คนพวกนี้มักจะจมูกไวเสมอ
เสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการคนสำคัญที่ออกมาตำหนิวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายประชานิยม ที่กำลังทำร้ายตัวเอง ทำร้ายประเทศ และสุดท้ายกำลังทำร้ายชาวบ้านตาดำๆ ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พวกเสื้อแดงที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอุ้มชูรัฐบาลชุดนี้มาตลอด แม้ว่าจะได้รับเงินเยียวยากันไปไม่น้อยสำหรับครอบครัวที่มีคนเจ็บตาย แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย ในระยะยาวยังต้องเจอกับความเดือดร้อนไม่สิ้นสุด
เสียงตำหนิจากนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ที่ระบุว่าเพิ่งมีรัฐบาลนี้ที่ควบคุมราคา “ข้าวราดแกง” ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ และในที่สุดก็ล้มเหลว เพราะแทนที่จะควบคุมและบริหารจัดการโครงสร้างราคาพลังงานให้สมดุล เพราะเป็น “ต้นทาง” แต่กลับไม่ทำ ตรงกันข้ามกำลังใช้นโยบายลอยตัว ปล่อยเสรีตามกลไกตลาด ซึ่งมองอีกมุมมันก็อาจไม่ผิด เพราะไม่บิดเบือนราคา แต่ขณะเดียวกัน มันก็อยู่ที่การบริหารที่ชาญฉลาด ไม่ทำให้ชาวบ้านต้องแบกรับภาระ ขณะเดียวกันก็ไม่ไปบิดเบือนราคาจนเกินพอดี มันก็น่าจะทำได้ เพราะหากปล่อยไปตามยถากรรมแล้วอ้างว่านี่คือกลไกตลาดแบบนี้ก็ไม่ต้องมีรัฐบาลบริหารประเทศก็ได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลปล่อยให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างเสรีนั้นมีการกล่าวหาว่าเป็นเพราะรัฐบาลต้องการอุ้มชูบริษัทน้ำมันอย่าง ปตท. ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มการเมืองพวกเดียวกันนั่นเอง ความหมายก็คือยิ่งน้ำมันแพง คนพวกนี้ยิ่งได้กำไร นี่คือเหตุผลที่ทางการไม่เข้าไปแทรกแซงราคา หรือเข้าไปอุดหนุนราคาพลังงานบางรายการ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่านี่คือต้นทางของราคาสินค้าที่กำลังพุ่งพรวดอยู่ในเวลานี้
นอกจากนี้ สิ่งที่บรรดานักวิชาการ และหลายฝ่ายกำลังตำหนิรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่ากำลัง “จงใจ” สร้างความผิดพลาด และสร้างหนี้ให้กับประเทศก็คือ นโยบายประชานิยม เช่น นโยบายบ้านหลังแรก และรถหลังแรก เป็นต้น เพราะไม่จำเป็น แต่ทำให้รัฐเสียรายได้ ขณะเดียวกัน ที่น่าเป็นห่วงก็คือ นโยบายจำนำข้าว ที่รัฐบาลต้อใช้เงินมหาศาล แต่ก็ไม่ได้ผลที่คุ้มค่า และในที่สุดก็จะทำให้ขาดทุน ขณะเดียวกันยังทำลายกลไกตลาดอย่างแท้จริง อีกทั้งการตั้งราคาจำนำที่สูง มันก็ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวถุงที่บริโภคภายในประเทศ ที่มีการปรับราคามาหลายรอบ และอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะมีการปรับขึ้นอีกไม่ต่ำว่า 5 เปอร์เซ็นต์
ยังมีผลทางจิตวิทยาจากนโยบายของรัฐบาลที่มีการปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาทที่ประกาศจะเริ่มดีเดย์นำร่องก่อนในวันที่ 1 เมษายน แค่ 7 จังหวัด แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นไปตามที่โม้เอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่มันก็ส่งผลให้ราคาค่าครองชีพพุ่งขึ้นไปรอล่วงหน้าแล้ว
สรุปก็คือจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไม่หยุด จากความผิดพลาดในการกำหนดนโยบายที่มาจากประชานิยม ที่จากเดิมเคยยกเลิกกองทุนน้ำมันจนทำให้ราคามันลดลงชั่วคราว แต่ในที่สุดเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้นทำให้ ราคาขายปลีกเพิ่มตามไม่หยุด ขณะเดียวกัน ต้องย้อนกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตอีกรอบ สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซในภาคขนส่งต้องทยอยปรับขึ้นแทบจะทุกสัปดาห์ และอีกไม่นานก็มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งหากเป็นไปตามนี้จริงมันก็ถือว่า นี่คือ “นรกขุมที่ 7” ชัดๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี่แหละที่กำลังเป็นความ “ล้มเหลว” ของ รัฐบาล “ทักษิณ คิดเพื่อไทยทำ แล้ว นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำไปท่องจำ” และนับวันดูแนวโน้มแล้วจะยิ่งบานปลายสร้างความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่คนเสื้อแดงก็เถอะเรื่องค่าครองชีพถือว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด มันก็ทำใจลำบาก พูดไม่ออก แรกๆ อาจจะยังเฉยๆ แต่รับรองว่านานไปก็น่าจะปรี๊ดแตกกันมั่งละ ความอดทนมันจำกัดเหมือนกัน
ปัญหาเสียงโวยวายไม่พอใจจากเรื่องค่าครองชีพ ข้าวของแพงที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนนี่แหละหากทอดเวลานานไปมันก็จะยิ่งส่งผลกระทบไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อเพิ่มอำนาจรองรับและลบล้างความผิดของทักษิณ ในอนาคต อย่างแน่นอน เพราะยิ่งชาวบ้านหัวเสียจากเรื่อง “อดมื้อกินมื้อ” มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกด้านหนึ่งกำลังหาทางทำให้อีกคนหนึ่งเอาเปรียบคนอื่น มันก็เกิดการเปรียบเทียบให้เห็นทำนองว่า “ผลงานไม่ได้เรื่องแต่ยังคิดทุเรศมาใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น” แบบนี้อยู่ใกล้ๆอาจยกเท้าถีบไปให้ไกล
นี่แหละถึงได้บอกว่าผลงานของรัฐบาลชุดนี้มีผลต่อเนื่องไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรมให้ทักษิณ เพราะถ้าทำให้คนเดือดร้อนก็ยิ่งไม่มีอารมณ์สนับสนุน ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตแรงสนับสนุนของชาวบ้านที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็มาจากกลยุทธการตลาดที่สร้างภาพว่าประสบความสำเร็จจากการแก้ปัญหาปากท้อง อีกทั้งในยุคที่เขาเข้ามาเป็นรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวจากวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 ประกอบกับมีการทุ่มงบโครงการประชานิยมกระตุ้นเพิ่มไปอีกก็กลายเป็น “สองแรงบวก” ทุกอย่างจึงดูดี แต่คราวนี้ถือว่าเป็นคราวซวยของยิ่งลักษณ์ ที่มาเจอกับวิกฤตภายนอกจาก ยูโรโซน และวิกฤตน้ำมันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ อิสราเอลกับอิหร่าน ยังมีเรื่องน้ำท่วมใหญ่ประดังเข้ามาอีก ก็ยิ่งทำให้ ยิ่งลักษณ์ ที่ไร้ความสามารถอยู่แล้ว ก็ยิ่งเละไปกันใหญ่!!