ผ่าประเด็นร้อน
อาจเป็นเพราะโชคไม่ดีต้องมาเจอกับปัญหาภัยน้ำท่วมที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ทำให้ไม่อาจใช้ภาพทาง “การตลาด” ขึ้นมาสร้างกระแสในเชิงบวกได้สะดวก เพราะความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสของชาวบ้านในพื้นที่ที่ขยายวงกว้างและกินเวลายาวนาน
ความเดือดร้อนที่เห็นกันอยู่ตำตามันก็ฟ้องให้เห็นแล้วว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยามันล้มเหลวและแตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างไรบ้าง แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามจะกระตุ้นทางด้านการตลาดพยายามจับเอา “บางระกำโมเดล” รวมทั้ง “อุดรฯ โมเดล” ขึ้นมาระหว่างเข้าพื้นที่ไปเยี่ยมชาวบ้าน แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ได้เกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เพราะในความเป็นจริงมันเป็นเพียงความสร้างกระแสเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่เป็นอยู่ในพื้นที่เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ปัญหาน้ำท่วมซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่เวลานี้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้ามาสมทบอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ยอดผู้เสียชีวิตและสูญหายมีให้เห็นเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ล่าสุดปัญหาอุทกภัยที่เป็นลักษณะน้ำป่าไหลทะลักได้ขยายลงสู่พื้นที่ภาคใต้แล้ว มันก็ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อหันไปพิจารณาถึงมาตรการในการรับมือแก้ปัญหา ซึ่งนาทีนี้เอากันแค่ “ปัญหาเฉพาะหน้า” เท่านั้น มันก็ยังไม่อาจเห็นความเชื่อมั่นได้เลย เพราะยังมีรูปแบบเดิมๆ ไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน แม้ต้องยอมรับความจริงว่าในเมื่อปัญหามันหนักหนาสาหัส และเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง มันก็ย่อมมีช่องโหว่ ไม่ทั่วถึงเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อเคยโจมตีคนอื่นเอาไว้ว่าล้มเหลว เมื่อเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องทำได้ฉับไวและมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่เท่าที่ดูแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น ถ้าให้สรุปในเบื้องต้นเอาแค่เฉพาะรับมือปัญหาน้ำท่วมเวลานี้ถือว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สอบไม่ผ่าน เพราะแนวทางแก้ปัญหาไม่ได้ต่างจากรัฐบาลชุดของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่อย่างใด
ถัดมาก็เรื่องข้าวของแพง หากลองสอบถามชาวบ้านทั่วไปก็จะพบความจริงว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงไปก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม ตรงกันข้ามยังมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะราคาข้าวถุงที่เริ่มมีการปรับราคาขึ้นมาแล้ว และในอนาคตจะมีการปรับราคาขึ้นมาอีก 20-30 เปอร์เซ็นต์อันเนื่องมาจากนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลทำให้ข้าวมีราคาแพงขึ้นมาก
ก่อนหน้านี้ผลจากการหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับตัวแทนผู้ผลิตสินค้ากว่าสองร้อยรายการ ผลปรากฏออกมาว่า สินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น จำนวน 200 รายการไม่ลดราคาลงมาโดยบอกว่าจะขอตรึงราคาไปจนถึงสิ้นปี นั่นหมายความว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคานั่นเอง นี่ก็ไม่ได้ “กระชาก” ราคาลงมาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมามองราคาน้ำมันบ้าง หลังจากที่มีการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราวทำให้ราคาน้ำมัน 3 ชนิด เช่น เบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซลลดลงทันที 3-8 บาท แต่เวลานี้ราคาน้ำมันกลับปรับขึ้นไปแทบจะใกล้เคียงกับราคาเดิมอีกแล้ว มิหนำซ้ำราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นไปนั้นก็ไม่มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันที่เคยใช้สำหรับพยุงราคาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเกษตรกร เช่น ดีเซล สักบาทเดียว เงินที่ได้จากการขายน้ำมันทั้งหมดเข้ากระเป๋าบริษัทน้ำมันทั้งสิ้น
นี่ยังไม่นับเรื่องนโยบายสำคัญที่เป็นอาวุธสำคัญในการคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง เช่น ค่าแรง เงินเดือนปริญญาตรี ที่ทำท่ายึกยัก หรือแม้แต่เรื่องการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลดภาษีรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรกที่จะเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้( 13 กันยายน) มันก็มีเงื่อนไขยุบยับและต้องใช้เวลานาน
สรุปก็คือ เรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ในภาพรวมถือว่ารัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ตลอด 1 เดือนเศษที่ผ่านมามันยังไม่เวิร์ค ส่อไปในทางเสียความรู้สึก ไม่เห็นแนวโน้มในทางบวกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของครอบครัว กลับมุ่งมั่นทำอย่างเร่งด่วน เดินหน้าเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ทักษิณ ชินวัตร เรื่องการคืนพาสปอร์ตสีแดง ข่าวการเจรจาเรื่องธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยกับกัมพูชา การแต่งตั้งข้าราชการที่เป็นเครือญาติเข้ามานั่นในตำแหน่งสำคัญ เช่นตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ รวมไปถึงการโยกย้ายข้าราชการสำคัญอื่นๆที่ดูเหมือนเอาจริงเอาจัง ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ผลสะท้อนความรู้สึกกลับมาผ่านทางสื่อต่างๆ หรือผลสำรวจล่าสุดต่างออกมาในแนวทางเดียวกันคือ “เสียความรู้สึก” เริ่มไม่เชื่อมั่นต่อแนวทางการบริหารประเทศมากขึ้น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ถึงขั้นเลวร้าย ประเภทสอบตก แต่ลักษณะที่ออกมาในเชิงถดถอย หยุดอยู่กับที่ อารมณ์ของชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากเทียบกันเมื่อตอนที่เข้ามาใหม่ๆ ซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะปัจจัยหลายอย่างไม่เป็นใจ แต่ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลงานในรอบ 1 เดือนแล้วมองแนวโน้มข้างหน้าก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง!!