ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราวชาวบางบัวทองที่ยื่นฟ้อง ศปภ. ช่วงน้ำท่วมปี 2554 เหตุมวลน้ำสลายสิ้นแล้วไม่จำเป็นต้องบรรเทาทุกข์อีก ขณะที่ “ทศสิริ” ซัดรัฐแก้ปัญหาน้ำแบบเดิมๆ ไม่เคยทำประชาพิจารณ์ หนีไม่พ้นต้องขัดแย้งกับ ปชช.อีก จี้ถามนายกฯ ทำไมเลือกปกป้องอุตสาหกรรรมมากกว่าเกษตรกรรม จากกรณีหนุนนิคมสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ทั้งที่ไทยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ
วันที่ 15 มี.ค. นางอังคณา เสาธงทอง ตุลาการศาลปกครองกลาง ออกบัลลังก์อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด สั่งเพิกถอนคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของศาลปกครองชั้นต้น ที่สั่งให้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) และ กทม. ร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำคลองมหาสวัสดิ์เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับความสามารถในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่รับผิดชอบของ ศปภ. และกทม. นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
การมีคำสั่งดังกล่าว เป็นกรณีที่ ศปภ.ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีที่นางทศสิริ พูลนวล ชาวบ้าน จ.นนทบุรี ที่รับผลกระทบจากการเปิดปิดประตูระบายน้ำคลองมหาสวัสดิ์ ยื่นฟ้อง ศปภ.และกทม. ส่วนเหตุที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนระบุว่า ปัจจุบันมวลน้ำอันเป็นต้นเหตุแห่งการใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาได้สิ้นไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการหรือวิธีการใด เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามที่นางทศสิริร้องขออีกต่อไป ฉะนั้นคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ให้ ศปภ.และกทม. ร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำคลองมหาสวัสดิ์เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับความสามารถในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่รับผิดชอบของ ศปภ.และกทม. นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ย่อมหมดความจำเป็นที่จะให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ศาลปกครองสูงสุดจึงยกคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาร้องของอุทธรณ์คำสั่งของ ศปภ.
ด้าน นางทศสิริกล่าวหลังฟังคำสั่งว่า คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดวันนี้แค่ยกคำสั่งของศาลปกครองกลาง แต่ในประเด็นการบริหารจัดการน้ำของ ศปภ.และกทม.ที่ผิดพลาดนั้นยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลางอยู่ ซึ่งการที่ตนยื่นฟ้องในคดีนี้ก็เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันระหว่างชาวนนทบุรี-กทม. และเพื่อไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจตัดสินใจตามลำพัง ต้องเปิดให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นตนเองด้วย
“การเตรียมการรับมือปัญหาอุทกภัยของปี 2555 ก็ยังเป็นวิธีคิดแบบเดิม ไม่มีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการแบบไหน เมื่อเป็นเช่นนี้เชื่อปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา จะยังคงอยู่ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและประชาชนไม่มีที่สิ้นสุด และที่รัฐบาลไปลงทุนสร้างเขื่อนรอบนิคมอุตสาหกรรมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยไม่ได้ทำประชาพิจารณ์กับประชาชนที่อยู่ในบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรม จนทำไปสู่การฟ้องร้องคดีก็อยากถามรัฐบาลว่า ทำไมถึงเลือกรักษาพื้นที่เขตอุตสาหกรรม มากกว่าเขตพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ อยากให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจนและควรนำปัญหาของประชาชนให้คิดให้มากกว่านี้”
นางทศสิริกล่าวอีกว่า ใน จ.นนทบุรี ก็เช่นกัน วันนี้ยังไม่มีการมาสอบความความเห็นประชาชนในพื้นที่ว่า ควรจะเตรียมการรับมืออุทกภัยอย่างไร มีเพียงกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันเรียกร้องให้ทางจังหวัดช่วยเหลือ ซึ่งก็อยากเรียกร้องให้ จ.นนทบุรี มีมาตรการแก้ปัญหาอุทกภัยที่ชัดเจนและประกาศให้ประชาชนได้ทราบ ไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นอีก