“หมวดเจี๊ยบ แวร์อาร์ยู” สวนประชาธิปัตย์ โอ่ยุคปูแดงสินค้าถูกว่ายุคมาร์ค ทั้งน้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ไข่ หมู ไล่ฝ่ายค้านเช็กสถิติ แย้มพาณิชย์จ่อรีแบรนด์ 1 ร้านค้า 1 ชุมชน ซื้อสินค้าขายต่ำกว่าทุน พร้อมเสนอออมสินอนุมัติสินเชื่อให้ร้านค้าด้วย หวังระบายสินค้าค้างสต๊อก
วันนี้ (14 มี.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข้อกล่าวหาของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เงา และ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่สนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และได้อ้างว่า สินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะวัตถุดิบในการประกอบอาหารในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีราคาแพงกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นความจริง ตรงกันข้าม สินค้าจำเป็นหลายรายการมีราคาถูกลง
ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า นายกรัฐมนตรี และ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับทุกนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะนโยบายเรื่องค่าครองชีพ ซึ่ง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งให้พรรคทราบว่า ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังจะรีแบรนด์ โครงการ 1 ร้านธงฟ้า 1 ชุมชน โดยคาดว่า จะเสนอ แบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “1 ร้านค้า 1 ชุมชน” ซึ่งคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณารายละเอียดอีกครั้ง ในวันที่ 20 มีค นี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนในการซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช และน้ำตาล ในราคาต่ำกว่าทุน เนื่องจากใช้หลักการเดียวกับห้างแม็คโคร คือ กระทรวงพาณิชย์ จะเจรจาซื้อสินค้าล็อตใหญ่ เพื่อเป็นการลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้ร้านค้าในโครงการสามารถขายสินค้าต่อให้ประชาชนได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาดเช่นกัน
ร.ท.หญิง สุนิสา กล่าวต่อว่า โดย นายบุญทรง ได้ตั้งเป้าจัดตั้งร้านค้าในสัดส่วน 1 ร้านค้า ต่อ 1 หมู่บ้าน ให้ครอบคลุม 6 หมื่นกว่าหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังมีแนวคิดจะเสนอให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ไมโครไฟแนนซ์ ในวงเงิน 50,000-100,000 บาท แก่เจ้าของร้านที่ร่วมโครงการ เพื่อให้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อสินค้ามาจำหน่ายอีกด้วย โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จะรับผิดชอบเรื่องการขนส่งสินค้าทั้งหมด นอกจากนี้ โครงการ 1 ร้านค้า 1 ชุมชน จะเป็นประโยชน์สำหรับรัฐบาลในการเป็นช่องทางระบายสินค้า โดยเฉพาะข้าวที่ล้นสต๊อกจากโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล หรือในการจำหน่ายสินค้าที่มีราคาตกต่ำ เช่น หอม หรือ กระเทียม เป็นต้น โดยร้านค้าที่สนใจสามารถสมัครได้ที่กรมการค้าภายในแต่ละจังหวัด หลังจากที่โครงการดังกล่าวผ่าน มติ ครม.
ส่วนกรณี โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีว่าราคาสินค้ารัฐบาลนี้แพงกว่ารัฐบาลที่แล้วนั้น ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะจากการที่พรรคเพื่อไทยตรวจสอบข้อมูลจากสำนักดัชนี้เศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ราคาสินค้าจำเป็นบางรายการ ที่นิยมใช้เป็นดัชนีชี้วัดค่าครองชีพ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย และไข่ไก่ ขนาดกลาง เบอร์ 2 มีราคาถูกลง เมื่อเปรียบเทียบข้อมูล ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ กับเดือน กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว โดย ราคาน้ำมันปาล์ม จาก ขวดละ 47 บาท เมื่อ ก.พ.54 เหลือ 42 บาท ในเดือน ก.พ.55 น้ำตาลทรายขาว จาก 23.67 บาท ต่อ กก.เหลือ 23 บาท ต่อ กก และ ไข่ไก่ ขนาดกลาง เบอร์ 2 จาก ใบละ 3.24 บาท เหลือ 3.14 บาท เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า สินค้าบางรายการมีราคาแพงขึ้น เช่น เนื้อหมู สันนอกและส่วนสะโพก แต่เมี่อดูสถิติย้อนหลัง พบว่า ราคาเนื้อหมูแพงขึ้นตั้งแต่สมัย นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากที่ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ ก็ได้แก้ปัญหา จนราคาเนื้อหมูลดลงทุกเดือน
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สถิติของสำนักดัชนี้เศรษฐกิจการค้า ระบุว่า ราคาเนื้อหมูส่วนสะโพก ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใหม่ๆ เมื่อเดือน ส.ค.54 สูงถึง 146.73 บาท ต่อ กก.แต่หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศได้ 7 เดือน ราคาเนื้อหมู ก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 118.32 บาท ต่อ กก.ในเดือน ก.พ.55 แสดงให้เห็นว่าความพยายามแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูแพงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ผลเป็นรูปธรรม แต่หากย้อนไปดูผลงานของ นายอภิสิทธิ์ กลับพบว่า หลังจาก นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ 7 เดือน ราคาเนื้อหมูส่วนสะโพก มีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 106.40 บาท ต่อ กก.(ธ.ค.51) ขึ้นมาเป็น 119.79 บาท ต่อ กก.ในเดือน มิ.ย.52 และหากพิจารณาในภาพรวมทั้งปี พบว่า ราคาเนื้อหมูเฉลี่ย หลังจาก นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ เพียง 1 ปี ราคาเนื้อหมูส่วนสะโพก เฉลี่ยทั้งปี แพงขึ้นเกือบ 6 บาท จาก 106.40 บาท ต่อ กก.เพิ่มขึ้น เป็น 112.26 บาท ต่อ กก.ในปี 2552 ผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ ตัวเลขดังกล่าว บ่งบอกอย่างชัดได้ชัดว่าใครกันแน่ที่ทำให้ของแพงทั้งแผ่นดิน และใครกันแน่ที่พยายามแก้ปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกกล่าวหารัฐบาล หรือโจมตีนโยบายของพรรคเพื่อไทยแบบมั่วๆ โดยไม่มีหลักฐานได้แล้ว เพราะจะยิ่งเป็นการประจานตัวเองว่าเป็นฝ่ายค้านที่ไม่มีคุณภาพ