นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันนี้ ราคาเชิ้อเพลิงทุกประเภท มีแต่ปรับขึ้นไม่มีลง ราคาน้ำมันปรับขึ้น 11 ครั้ง หรือแแพงขึ้นทุกสัปดาห์ รวมแล้วลิตรละ 5 บาทกว่า หรือ ประมาณ 16 % สำหรับน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ และลิตรละ 2.94 บาท หรือ 10 % สำหรับน้ำมันดีเซล
ส่วนแก๊ส แอลพีจี ที่ใช้ในภาคขนส่ง เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.08 บาท เป็น 19.58 บาท จะขึ้นราคาอีก 75 สตางค์ ในวันที่ 16 มีนาคม เป็นกิโลกรัมละ 20.33 บาท หรือเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 2.25 บาท เท่ากับ 12.5 % เอ็นจีวี จะขึ้นเป็น กิโลกรัมละ 10 บาท จากเดิม 8.50 บาท เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 1.50 บาท หรือเท่ากับ 17.6 %
เมื่อน้ำมันแพง สินค้าทุกอย่างก็แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว ตั้งแต่ข้าวแกง สินค้าอุปโภคบริโภค และอีกไม่นาน ค่าแท็กซี่ ค่ารถเมล์ เรือด่วน ค่ารถทัวร์ รถตู้ ก็จะต้องแพงขึ้นยกแผง
นี่คือ ผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ชูนโยบายตอนหาเสียงว่า กระชากค่าครองชีพ ลดความเดือดร้อนของประช่าชน
ฝันร้ายของคนไทย เพีงจะเริ่มต้น เพราะราคาน้ำมัน จะสูงขึ้นอีกเดือนละ 1 บาทต่อลิตร ติดต่อกันไปอีกอย่างน้อย 4 เดือน ซึ่งจะทำให้น้ำมันเบนซิน 91 มีราคาถึงลิตรละ 45 บาท ในกลางปีนี้ค่อนข้างแน่ ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ก็เช่นกันที่อาจตจะต้องขึ้นไปอีกเดือนละ 60 สตางค์ ต่อลิตร ติดต่อกันอีก 4-5 เดือน
ราคาน้ำมันที่จะต้องแพงขึ้นทุกเดือนนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเลย แต่เป็นผลมาจาก นโยบาย เลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน สำหรับน้ำมันเบนซิน91 ลิตรละ 6.70 บาท น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 7.50 บาท และน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท ซึ่งเป็นนโยบาย “ ทำทันที” ของรัฐบาลนี้ หลังจากเข้ารับตำแหน่ง เมื่อเดือนสิงหาคม ปี่ที่แล้ว
คนไทยดีใจได้ใช้น้ำมันราคาถูกลงลิตรละ 6-7 บาท จนถึงป่านนี้ ไม่รู้ว่า รู้ตัวกันหรือยังว่า ถูกรัฐบาลหลอก เพราะนโยบายงดเก็บเงินเข้ากองทุนนี้ มีอายุแค่ 4 เดือนเท่านั้น พอขึ้นปีใหม่ นโยบายนี้ก็ถูกล้มเลิกไปอย่างเงียบๆ เมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุน จากผู้ใช้น้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท ทุกเดือน และลิตรละ 60 สตางค์จากผู้ใช้น้ำมันดีเซล
แม้รัฐบาลจะไม่ยอมประกาศให้ชัดเจนว่า จะเก็บเงินเข้ากองทุนไปอีกนานกี่เดือน แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่า อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเก็บให้เท่ากับที่เคยยกเลิกไป คือ ต้องเก็บจากน้ำมันเบนซิน ลิตรละ 6-7 บาท ซึ่งขณะนี้ เก็บไปแล้วลิตรละ 2 บาท จะต้องเก็บเพิ่มอีก 1 บาท ในวันที่ 16 มีนาคมนั้ ส่วนน้ำมันดีเซล เพิ่งเก็บไปครั้งเดียวลิตรละ 60 สตางค์
สำหรับน้ำมันดีเซล นอกจากจะต้องถูกเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่มแล้ว ยังจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตอีกลิตรละ 5 บาท เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยกเลิกภาษีสรรพสามิตเพื่อตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท มาตรการนี้หมดอายุไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลนี้มีมติให้ต่ออายุออกไปอีก 1เดือน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม นี้ หากไม่มีการต่ออายุอีก เพราะการยกเว้นภาษีน้ำมันดีเซล ทำให้กรมสรรพสามิตขาดรายได้ถึงเดือนละ 9 พันล้านบาท ราคาน้ำมันดีเซลก็จะแพงขึ้นอีกลิตรละ 5 บาทแน่นอน อยู่ที่ว่า จะขึ้นทีเดียว หรือทยอยขึ้นครั้งละกี่บาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับ แก๊สแอลพีจี จะแพงขึ้นทุกเดือนๆละ 75 สตางค์ ต่อ หนึ่งกิโลกรัม จนถึงสิ้นปี หรือขึ้นไปเป็นกิโลกรัมละ 27 บาท ส่วนแก๊สเอ็นจีวี จะขึ้นไปอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเดือน จนถึงสิ้นเดือนสิ้นปี หรือขึ้นไปเป็นกิโลกรัมละ 14.50 บาท
การยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้เงินหายไปจากกองทุนฯ เดือนละ 6 พันล้านบาท แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลา 4 เดือน แต่ทำให้ฐานะเงินกองทุน ซึ่งก่อนจะยกเลิกการเก็บเงินมีเงินเหลืออยู่ 1 พันกว่าล้านบาท มีฐานะติดลบนับเป็นหมื่นล้านบาท จนต้องประกาศขยายกรอบเงินกู้เพื่อมาพยุงกองทุน จากเดิม 20,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้น้ำมันจะต้องถูกเก็บเงินเข้ากองทุนอีกหลายปี จนกว่าจะชำระหนี้หมด ดังนั้น ที่ที่นายอารักศ์ ชลธ่ารนนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรววงพลังงาน ประกาศว่า จะยกเลิกกองทุนน้ำมัน ในเดือนตุลาคมนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเอลกไปแล้ว หนี้30,000 ล้านบาทของกองทุนฯ ใครจะรับผิดชอบ การบอกว่า จะเลิกกองทุนฯ เป็นเพียงข้ออ้างที่จะขึ้นราคาแก๊สหุ้งต้มมากกว่า
หากเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หรือมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว คนไทยจะต้องแบกรับภาระราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะรัฐบาลไม่มีเครื่องมือสำหรับพยุงราคาน้ำมันชั่วคราว เนื่องจากกองทุนน้ำมัน ได้ถูกทำลายไปแล้ว ด้วยฝีมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทั้งจากราคาตลาดโลก และนโยบายของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรววงพลังงาน ไม่เคยแสดงท่าทีเลยว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร ให้สัมภาษณ์ทุกครั้ง พูดแต่คำว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ
คำว่า ปรับโครงสร้างพลังงาน ทั้งระบบ ของนายอารักษณ์ คือ ขึ้นราคาทุกอย่าง ทั้งน้ำมัน ก๊าซแอลพีจี เอ็นจีวี และกำลังจะขึ้นราคาแก๊สหุ้งต้มในครัวเรือนอีก ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดมีอยู่รายเดียวคือ ปตท. เพราะเป็นผู้ผูกขาดตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพียงรายเดียว
ภาวะราคาน้ำมันและแก๊สที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี และจะแพงขึ้นทุกเดือนๆ หากคนไทยจะลองคิดดูให้ดีว่า ใครได้ ใครเสีย โดยไม่ติดอยู่ในกับดัก กลไกตลาด ก็จะเห็นได้ว่า รัฐบาลนี้ เลือกที่จะรักษาผลกำไรของ ปตท. มากกว่าดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน