“เทพไท” เย้ย กมธ.กฎหมายฯ สภาฯ สอบทีวีบลูสกายไม่ได้ ต้องส่ง กกต.หรือ ป.ป.ช.สอบ ระบุหาก “วิรุฬ” รับลูกคนร้องเท่ากับชงเองกินเอง งงชมรมสื่อฯ ที่ร้องไม่เห็นให้สอบทีวีเสื้อแดงบ้าง แนะจับตา ครม.สัญจรภูเก็ตจะทุ่มเม็ดเงินพัฒนาใต้เหมือนอีสานหรือไม่ ท้า “เฉลิม” ฟ้องศาลหมิ่นฯ อย่าแค่แจ้งตำรวจหวังปิดปากไม่ให้ใครพูด “เมาเหล้าประชุมสภา” ยันมี “สุนัย” เป็นพยาน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบูลสกายว่า จะต้องมีการตรวจสอบว่าชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย คือสื่อเทียมหรือสื่อแท้ เพราะไม่ทราบที่มาว่าเป็นสื่อชนิดใด ซึ่งการกล่าวอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์มีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ที่ห้าม ส.ส., ส.ว.ที่เป็นนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นในสื่อนั้น ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับช่องบลูสกาย และมั่นใจว่าการที่ตนและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีก 2 คนไปออกรายการสายล่อฟ้านั้นก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับทางรายการของช่องเอเชียอัพเดท แต่ชมรมดังกล่าวกลับไม่ไปตรวจสอบ
นายเทพไทกล่าวว่า คณะกรรมาธิการไม่มีสิทธิตรวจสอบการกระทำของ ส.ส.ซึ่งหากพบว่า ส.ส.คนใดมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายก็จะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการด้านจริยธรรมเท่านั้น ซึ่งประธานของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ก็คือ พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็อยู่ที่ พล.ต.อ.วิรุฬว่าจะรับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ถ้าหากรับเรื่องจริงก็เปรียบเสมือนการชงกันเอง
ส่วนกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาโจมตีพรรคประชาธิปัตย์โดยระบุว่านายชวน หลีกภัย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินทางไปสัมมนาที่จังหวัดสงขลามีความพยายามที่จะปลุกกระแสชาตินิยมในภาคใต้นั้น นายเทพไทกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยปลุกกระแสใดๆ แต่พรรคการเมืองอื่นต่างหากที่พยายามบิดเบือน และยัดเยียด แต่ก็ถือว่าเป็นที่น่าสงสารที่ทั้ง 2 คนที่เป็นคนภาคใต้ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากคนภาคใต้ด้วยกัน ซึ่งต่อจากนี้ก็คงต้องจับตาดูคณะรัฐมนตรีที่จะไปสัญจรที่จังหวัดภูเก็ตว่าจะมีการอนุมัติเงินงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่เท่ากับภาคเหนือหรือไม่ ซึ่งหากมีการเหลื่อมล้ำกันทางรัฐบาลก็ต้องให้คำตอบแก่ทางสังคม
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ร้องทุกข์กล่าวโทษหมิ่นประมาทต่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รวมตนด้วยที่ สน.แสมดำนั้น ไม่รู้สึกกังวลใดๆ ในการสู้คดี แต่กังวลในการเดินทางไปให้ปากคำที่ สน.แสมดำ เพราะอยู่ใกล้เคียงกับบ้านพักของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งหาก ร.ต.อ.เฉลิมมีความต้องการที่จะหวังผลในรูปคดี ร.ต.อ.เฉลิมก็ควรที่จะฟ้องร้องต่อศาลอาญาไปเลย อย่างไรก็ตาม หาก ร.ต.อ.เฉลิมต้องการที่จะดำเนินคดีเพราะหวังผลทางการเมืองเพื่อไม่ต้องการให้มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก ร.ต.อ.เฉลิมก็จะต้องให้คำตอบกับประชาชนด้วย ซึ่งในวันนั้นตนก็มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคน เช่น นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย