xs
xsm
sm
md
lg

ระทึก!ศาล รธน.วินิจฉัย 2 พ.ร.ก.กู้ 22 ก.พ.นี้ “กรณ์ - คำนูณ - กิตติรัตน์” แจงยิบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภา และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง เข้ารับฟังคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 2 พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญคึกคัก หลังเปิดให้รับฟังคำชี้แจงวินิจฉัย พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับขัดต่อ รธน. ม.184 วรรคหนึ่งและสองหรือไม่ ฝ่ายรัฐบาลส่ง “กิตติรัตน์” แจง อ้างคำเดิมป้องภัยพิบัติ-ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ “กรณ์” มั่นใจ พ.ร.ก.กู้เงินไม่ชอบตาม รธน.ชี้รัฐบาลไม่มีปัญหารับภาระดอกเบี้ยหนี้ แต่เลือกรวบรัด-เลี่ยงการตรวจสอบ ด้าน “คำนูณ” ชี้ความรับผิดชอบของรัฐบาลขอให้เป็นไปทีละขั้นตอน “รสนา” ฉะนักการเมืองหาความรับผิดชอบได้ยาก ยกกรณีแปรรูป กฟผ. ถามถ้าไม่ให้กิตติรัตน์ลาออก นายกฯ จะลาออกเองหรือไม่ ล่าสุดศาลรับฟังคำชี้แจงเสร็จแล้ว นัดฟังคำวินิจฉัย 22 ก.พ.นี้

วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธาน ได้ออกนั่งบัลลังก์รับฟังคำชี้แจงจากผู้ที่เกี่ยวข้องในคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 กรณีพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ และสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท และพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันเงิน พ.ศ. 2555 มูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง และวรรคสองหรือไม่

ทั้งนี้ การรับฟังคำชี้แจงของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ได้รับความสนใจทั้งจากสื่อมวลชน และฝ่ายการเมือง เนื่องจากถือเป็นครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดให้รับฟังคำชี้แจงในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยพระราชกำหนด โดยนอกเหนือจากนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์, นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ร้อง, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ตัวแทนนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้อง จะเข้าชี้แจงแล้ว ยังมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภา และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง, นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, นายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และนายเจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา เข้ารับฟังการพิจารณาอย่างคึกคัก

อย่างไรก็ตาม ก่อนการเข้าชี้แจง นายกรณ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตนก็จะชี้แจงไปตามประเด็นที่มีความสำคัญในการพิจารณา ซึ่งมั่นใจตั้งแต่แรกว่าการตรา พ.ร.ก.กู้เงินทั้งสองฉบับนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ พ.ร.ก.เพื่อกู้เงินที่ยังมีปัญหาในหลายจุด โดยในส่วนของ พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ฯ ชัดเจนว่าผลของการโอนหนี้ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในลักษณะเร่งด่วนจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลไม่ได้มีปัญหาในการรับภาระดอกเบี้ยของหนี้การฟื้นฟู เพราะรัฐบาลเป็นผู้จัดสรรงบประมาณ และได้เผื่อไว้ในปีงบประมาณ 2555 อยู่แล้ว ซึ่งสามารถจะรับดอกเบี้ยได้อย่างน้อยที่สุดคือถึงสิ้นปีงบประมาณ จึงไม่มีความจำเป็นต้องตรากฎหมายนี้ในรูปแบบ พ.ร.ก.

นอกจากนี้ ที่ผ่านมานายกิตติรัตน์ยังได้ออกมาสรุปว่าจะจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารของรัฐ แต่กลับไม่คิดพิจารณานำค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปสมทบกองทุนค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์เพื่อชำระหนี้ ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ และไม่ได้คิดจะลดภาระหนี้ส่วนนี้เป็นภาระเร่งด่วนอย่างที่กล่าวอ้าง และมีผลในทางลบมากมาย ตนจะชี้แจงต่อศาลว่าควรมีการพิจารณากลั่นกรองในชั้นของสภาตามขั้นตอนฝ่ายนิติบัญญัติปกติ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็พูดว่าหากไม่สามารถออกพระราชกำหนดได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังสามารถวินิฉัยออกเป็นพระราชบัญญัติแทนได้ นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าสามารถออกเป็นพระราชบัญญัติได้ไม่เป็นปัญหา แต่รัฐบาลต้องการที่จะรวบรัด และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จึงเลือกพระราชกำหนดที่เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารเท่านั้น ส่วน พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำนั้น ยังมีคำถามว่าเร่งด่วนจริงหรือไม่ และอาจเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ประเทศ

ส่วนนายกิตติรัตน์ให้สัมภาษณ์ว่าจะทำหน้าที่ชี้แจงเหตุผลต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างดีที่สุด ถึงความจำเป็นของรัฐบาลในการประกอบการพิจารณาการยื่น พ.ร.ก.ดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเหตุผลเนื่องจากการป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยนายกิตติรัตน์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับตกไป

ด้านนายคำนูณให้สัมภาษณ์ว่า จะชี้แจงให้เห็นว่า พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูไม่มีเหตุฉุกเฉินที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจจะละเว้นได้ โดยจะมีเหตุผลประกอบ 4-5 ประการ เมื่อถามว่าจะถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลหรือไม่ หาก พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับต้องตกไป นายคำนูณกล่าวว่าขอให้เป็นไปทีละขั้นตอนก่อน

ขณะที่ น.ส.รสนา หนึ่งในกลุ่ม ส.ว.ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในกรณี พ.ร.ก.ดังกล่าว กล่าวถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับตกไปว่า เมืองไทยมีมาตรฐานจริยธรรมค่อนข้างต่ำ จึงหานักการเมืองรับผิดชอบได้ยาก อย่างกรณีของการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็ไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบ แม้จะมีประมวลจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญก็ไม่มีผลบังคับ

“ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า พ.ร.ก.ตกไป ก็ควรต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่วันก่อนได้ยินนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์แล้วว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลังไม่ต้องลาออก แล้วถามว่านายกฯ จะลาออกหรือเปล่า” นางรสนากล่าว และว่า เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่มีข้อกฎหมายบอกว่านักการเมืองต้องรับผิดชอบอะไร มันเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องบีบ ถ้าสังคมเฉยๆ ก็ทำอะไรไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการออกนั่งบัลลังก์รับฟังคำชี้แจงนั้น นายกิตติรัตน์ได้ยื่นเอกสารรายการใช้เงินลงทุนแก้ปัญหาน้ำตาม พ.ร.ก.3.5 แสนล้านบาทให้ศาลเมื่อเช้าก่อนพิจารณา และหลังจากที่นายกิตติรัตน์กล่าวชี้แจงแล้ว ศาลได้ซักถามในหลายประเด็น โดยเฉพาะความเร่งด่วนในการออก พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับ รวมทั้งเงื่อนเวลาในการออก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.

จากนั้นนายนายกรณ์ ได้ชี้แจงเป็นคนแรกระบุว่า ในฐานะผู้แทนเสนอความเห็นของประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ชี้แจงด้วยวาจาก่อน โดยนายกรณ์ ชี้แจงกรณีพ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ว่า การที่รัฐบาลอ้างเหตุผลว่าจะนำเงินงบฯแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่จริง เพราะเม็ดเงินที่จัดสรรไว้จะไม่ได้แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ การวัดระดับหนี้สาธารณะมากหรือน้อย ระดับสากลวัดจากจีดีพี ดังนั้นปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยเทียบกับจีดีพีประเทศ 41% ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ที่สำคัญในรัฐบาลทุกรัฐบาลได้งบริหารภายใต้ความยั่งยืนกรบอการคลังรัฐบาลไม่ควรมีหนี้สาธารณะเกินจีดีพี 60 % ณ ปัจจุบันปี 2555 งบฯที่รัฐบาลจัดสรรชำระดอกและต้น 2แสน 2 หมื่นล้านบาท กรณีนี้เป็นข่าวต่อสาธารณชนมากสาเหตุที่รัฐบาลอธิบายว่าภาระหนี้งบฯค่อนข้างสูง เป็นข้อมูลใช้อภิปรายความจำเป็นตราพ.ร.ก. ถ้าคิดความหมายแง่ส่วนต่าง 5 % ระหว่างภาระหนี้งบประมาณ นอกจากนั้นนายธีระชัย ได้พูดตัวเลขภาระหนี้ต่องบฯได้ยืนยันชัดเจนว่าตัวเลขที่นายกิตติรัตน์อ้างว่ามีภาระหนี้ต่องบฯสูง 12 % ตามข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น และสรุปจนตนตกใจมากว่า ไม่มีเหตุผลออกพ.ร.ก.

นายกรณ์ กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบความจำเป็นการออกพ.ร.ก. เห็นว่าไม่มีความจำเป็น ภาระหนี้มีอยู่แล้วทุกรัฐบาลสามารถบริหารจัดการขณะที่มีงบฯเพียงพอในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แม้จะมีการตั้งงบฯไว้แล้วไม่ได้มีความจำเป็นหาแหล่งเงินเพื่อมาชำระชดเชยดอกเบี้ยส่วนนี้ และไม่จำเป็นลดภาระหนี้ของรัฐบาล ในพ.ร.ก.กำหนดวิธีที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯแสวงหารายได้ ช่องทางรายได้มี 3 ช่องทุกช่องทางล้วนไม่มีผลต่อการเริ่มเก็บรายได้ อย่างเร็วสิ้นปี 2555 ดังนั้นความจำเป็นเร่งด่วนออกพ.ร.ก.จึงไม่มี ประเด็นแรกค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลจัดเก็บธนาคารพาณิชย์ เสนอช่วงกลางเดือนมกราคม ความหมายแง่การชำระเข้ากองทุนฯทุก 6 เดือน กว่าเม็ดเงินเข้ามาก็ในต้นปี 2556 ซึ่งการตราพ.ร.ก.นี้ไม่ได้ปรึกษาหารือกับธปท. แนวทางการตราพ.ร.ก.ลักษณะนี้มีผลข้างเคียงหลายประเด็นมีจุดอ่อนตัวกฎหมายมีผลกระทบความมั่นคงเศรษฐกิจ 1.การตราพ.ร.ก.นี้ ยังขาดความชัดเจนในส่วนภาระหนี้กองทุนฯที่รัฐได้โอนไป มาตรา 4 โอนความรับผิดชอบบริหารหนี้ส่วนนี้ไปยังกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทั้งนี้กองทุนฯไม่มีกำลังเพียงพอในการชำระหนี้ และกฎหมายก็ไม่ได้ระบุว่ากรณีนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถึงเวลากองทุนฯฟื้นฟูต้องออกพันธบัตรเอง สุดท้ายรัฐบาลต้องค้ำประกันหรือไม่ 2.แนววิธีโอนอำนาจให้ธปท.เก็ฐค่าธรรมเนียบจากธ.พาณิชย์ ทำให้ระบบธนาคารมีผลทางลบ

3.ความไม่ชัดเจนเรื่องสถาบันคุ้มครองเงินฝากให้รับ 0.4% ทุกปีเพื่อเป็นทุกให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถค้ำประกันระบบบัญชีเงินฝากของประชาชนได้ ทั้งนี้หากจัดเก็บค่าธรรมอัตรารา 0.4% น่าจะมีเงินเพียงพอ ซึ่งนโยบายรัฐบาลต้องการที่จะนำ 0.4%ไปเข้าบัญชีกองทุนเพื่อชำระหนี้แทน เม็ดเงินเหลือให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะอยู่ 0.01 % แน่นอนจะส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่น และกรณีเกิดสถานการณ์วิกฤตจะมีการดูแลอย่างไร รัฐบาลจะต้องค้ำประกันให้กับสถาบันคุ้มครองเงินฝากหรือไม่ และ 4. พรก.นี้มีผลทางบลบต่อระบบเศรษฐกิจภาพความเป็นจริงแทรกแซงธนาคารกลางของรัฐบาล ประเด็นนี้ให้ความสำคัญมาก เพราะหลักสากล ธปท.สามารถที่จะดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจอิสระจากนโยบายรัฐบาล โดยรัฐบาลแทรกแซงการทำงาน ตรากฎหมายที่มีผลแทรแกซงการทำงานธปท. ร่างแรกที่ปรากฎให้อำนาจรัฐบาลใช้มติครม.ให้ธปท.ให้นำเงินสำรองมาชำระหนี้แทนรัฐบาลได้ จนได้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ลดผ่อน แต่ก็ยังแทรกแซงธปท.อยู่

“พรก.ไม่ส่งผลความมั่นคงเศรษฐกิจ ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนใดๆถ้าคิดทำจริงก็ออกพ.ร.บ.ได้ โดยสรุปผลลัพธ์ทั้งหมดของรัฐบาลในการตราพ.ร.ก. อย่างเก่งรัฐบาลประหยัดงบ 4 หมื่นล้านบาท แทนที่จะนำเงินไปชำระหนี้ หากเทียบกับงบฯรายจ่าย 2.38 ล้านล้านบาทมีค่า 1%เศษๆ และโดยเฉพาะ 4 หมื่นล้านบาทไม่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้”

นายกรณ์ แจงว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท หัวใจของพ.ร.ก.นี้ ไม่ใช่คำถามว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือป้องกันไม่ให้เกิดภัยอุทกภัยในช่วงปลายปีที่แล้วจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลมีหน้าที่จะต้องเร่งรัดในการกำหนดแผนป้องกันไม่ให้อุทกภัยเกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่ประเด็นที่ตนและคณะมองว่าสาเหตุที่ทำให้ยื่นให้ศาลตีความพ.ร.ก.นี้ คือไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการรีบกู้ยืมเงิน เพราะเราเห็ฯว่า ความพร้อมของรัฐบาลในการใช้เงินไม่มี และอยากเร่งรัดให้รัฐบาลช่วยกำหนดแผนให้ชัดเจน กำหนดแผนใช้เงิน และจากนั้นจะกู้ยืมเงินผ่านพรก. แต่รัฐบาลไม่ชัดเจนความพร้อมใช้เงิน ดังนั้นไม่จำเป็นตราพรก.กู้เงินเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ความไม่ชัดเจนของแผนนั้นปรากฎตามหลักฐานมติครม.และรวมถึงหลักฐานที่ได้มอบให้คือ แผนรัฐบาล 2ส่วน1.ใช้เงินเร่งด่วนแก้ปัญหาน้ำท่วม รัฐบาลเรียกว่าแผนปฏิบัติการแก้อุทกภัยเร่งด่วน ตามกยน.เสนอ โดยแผนเร่งด่วนมี 6 แผนการกำหนดใช้เม็ดเงินส่วนแรก กำหนดในประชุมครม. 27 ธ.ค. 54 ใช้เม็ดเงิน 1.7 หมื่นพันล้านบาท ส่วน 5 แผนได้ประชุมครม. 9 ม.ค. 55 เพิ่มวงเงินอีก 5.5 พันล้านบาท และการใช้งบกลาง 1.2แสนล้านบาท ส่วนงบบูรณาการฟื้นฟูลุ่มน้ำโครงการระยะยาวรัฐบาลได้แบ่ง 3 ส่วนในการประชุมครม.เมื่อ 10 ม.ค.55 จนถึงขณะนี้ก็ไม่มีรายละเอียดนอกเหนือจากนั้นให้สภาพิจารณา คือสรุปเพียงว่ามีการนำ 3.5แสนล้านบาทพัฒนาลุ่มน้ำแต่ไม่ได้กำหนดโครงการชัดเจนจะใช้เงินเท่าไร จึงทำให้ตนได้ยืนยันไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนตราพ.ร.ก.ฉบับนี้ ตนอยากอ้างถึงบทสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะมีหลายคนแสดงความคิดเห็น ดร.สมิทธ ธรรมสโรข กรรมการกยน. ของรัฐบาล โดยนายสมิทธ ให้สัมภาษณ์เมื่อ 26 ม.ค.55 ว่า "การที่รัฐบาลเสนอ 3.5 แสนล้านบาท นายกฯแถลงก็ไม่เห็นแผนงานรูปธรรมไม่ว่าฟลัดเวย์จะผ่านอย่างไร และยังมีคำสัมภาษณ์ นายปราโมทย์ ไม้กลัดเมื่อ 27 ม.ค. การแก้ปัญหาน้ำท่วมรัฐบาลไม่มีแผนชัดเจนและแผนกยน.เสนอมากรอบกว้างๆไม่นำไปสู่การแก้ไขอย่างแท้จริง ซึ่งยังไม่ชัดเจนใดๆรวมถึงเตรียมรับมือปัญหาน้ำท่วมทั้งที่อนุมัติงบฯมาก่อนแล้ว และยังให้สัมภาษณ์ว่าการแถลงแผนแม่บทแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเพียงแค่แผนในกระดาษการอนุมัติเงินเท่านั้น หัวใจเรื่องนี้อยู่ความพร้อมการใช้เงินความจำเป็นเร่งด่วน ที่รัฐบาลจะจัดทำแผนเมื่อแผนไม่ชัดเจน และดูเหมือนว่าโครงการระยะยาวการพัฒนาลุ่มน้ำจะใช้เวลามากกว่านั้นในการบิรหารจัดการน้ำจึงไม่เร่งด่วนกู้เงินในวันนี้ออกพ.ร.ก. สามารถจัดสรรเม็ดเงินผ่านงบฯปกติในอนาคตได้

ประเด็นสำคัญ เรื่องจำเป็นเร่งด่วนต่อเศรษฐกิจโดยรวม การตราพ.รก.รัฐบาลที่แล้วไทยเข้มแข็งบริบทการออกพรก.ฉบับนั้นแตกต่างสิ้นเชิงการอ้างตรรกะออกพ.รก.กู้เงินก็ เป็นการอ้างไม่ได้เปรียบเทียบบริบทความจำเป็น บริบทตราพรก.ในปี 2552 ตราช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในไตรมาสแรกขยายตัวติดลบ 4% ไตรมาส 2 ติดลบ 7% เมื่อเทียบสถานการ์ณปัจจุบัน อัตราขยายตัวเศรษฐกิจเป็นบวก และรัฐบาลก็มั่นใจว่าการขยายตัวเศรษฐกิจจะสูง และมีอัตราว่างงานเพียง 1.7 แสนคน โดยปี 2552 รัฐบาลไม่มีเครื่องมืออื่นในการแก้ปัญหา โดยรัฐบาลในปี 2552 ได้กู้ยืมเงินขาดดุล 3.4 แสนล้านบาท และรัฐบาลประเมินว่าจากปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวเศรษฐกิจจะส่งผลต่อรายได้ภาษีรัฐบาลที่จะต่ำกว่าเป้า ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลใดตราพ.ร.ก.นี้ได้ก็เท่ากับเปิดช่องให้ทุกรัฐบาลในอนาคตกู้ยืมเงินโดยหลีกเลี่ยงตรวจสอบของสภา

ส่วนนายคำนูณ ชี้แจงว่า การตรา พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ฯ ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญม.184 วรรคสอง ที่ครม.ไม่มีเหตุอันถือได้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ จนกระทั่งต้องเร่งให้มีการตรา พ.ร.ก.ดังกล่าว อันเป็นข้อยกเว้นในการตรากฎหมายของฝ่ายบริหาร โดยไม่ต้องทำเป็นพ.ร.บ.เพื่อเสนอต่อสภาเพื่อให้ความเห็นชอบก่อน แต่ครม.จะต้องตีความอย่างเคร่งครัดว่าต้องมีความจำเป็นรีบด่วนอันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดความปลอดภัยของประเทศ และสาธารณะ แต่ในท้าย พ.ร.ก.ฉบับนี้ครม.ได้ระบุถึงมีเหตุฉุกเฉินไว้ว่า รัฐบาลจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการฟื้นฟูประเทศ และการบริหารจัดการน้ำ จะต้องดำเนินการหลายแนวทางพร้อมกัน โดยแนวทางหนึ่งคือการลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่กู้มาเพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เกิดจากการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงิน ปี 2540 โดยต้องปรับปรุงการชำระหนี้ใหม่เพื่อไม่ให้กระทบงบประมาณของประเทศ ซึ่งคณะของตนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่รัฐบาลได้ชี้แจงว่า รัฐบาลต้องการลดภาระการชำระหนี้ลงไปปีละประมาณ 60,000ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในภารกิจอื่นในความจำเป็น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศในการลงทุน ซึ่งรัฐบาลได้จัดการการชำระหนี้ต่องบประมาณได้มากขึ้น และจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไปให้ขาดดุลน้อยลง

นายคำนูณ กล่าวว่า แม้ตนและคณะได้เห็นด้วยในท้ายพ.ร.ก.ดังกล่าว แต่ตนและคณะไม่เห็นด้วยกับวิธีการออกพ.ร.ก. เพราะกรณีดังกล่าวยังไม่เป็นกรณีรีบด่วน ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคสอง เนื่องจาก 1.รัฐบาลมีงบประมาณที่จะใช้ในการฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำ หรือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อยู่แล้ว หรือสามารถดำเนินการได้ไปพลางก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากมีเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 เป็นงบกลางจำนวน 1.2แสนล้านบาท และเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น 66,000ล้านบาท และงบประมาณตามแผนงานทรัพยากรน้ำและความเสียหายจากภัยพิบัติ และแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแผนงานของกระทรวง หรือกรมอื่นอีกจำนวนมาก เรื่องนี้ปรากฏตามพ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี 2555 ที่สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบแล้วรอเพียงการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และยังมีเงินนอกรายจ่ายประจำปี คือเงินจากการตรา พ.ร.ก.อีก 3 ฉบับที่ได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลมีเงินงบประมาณใช้ถึง 7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีเงินเพียงพอในการดำเนินการได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องตราพ.ร.ก.ฉบับนี้แต่อย่างใด

ข้อ 2 ในขณะที่ครม.ได้มีมติให้มีการตราพ.ร.ก.ฉบับนี้ สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2555 แล้วเมื่อวันที่ 7 ม.ค. โดยในพ.ร.บ.นี้ได้ระบุรายจ่ายของกระทรวงการคลังในการชำระหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่รัฐบาลต้องการลดภาระการชำระหนี้ของกระทรวงการคลังไว้ทั้งหมดแล้ว และวุฒิสภาก็ได้ให้ความเห็นชอบในเวลาต่อมา รัฐบาลจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณ หรือเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการชำระหนี้ของเงินกองทุนในพ.ร.บ.รายจ่ายฯได้อีก หากรัฐบาลต้องการนำเงินที่ต้องการชำระหนี้ของกระทรวงการคลังในพ.ร.บ.งบประมาณฯก็ต้องไปดำเนินการในพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2556 และการตราพ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่ส่งผลให้หนี้สาธารณะลดลงแต่ประการใด เพียงแต่เป็นการผลักภาระจากการตั้งจ่ายประจำปีเท่านั้น การออกพ.ร.ก.ฉบับนี้จึงไม่ส่งผลให้รัฐบาลมีงบประมาณเร่งด่วนที่จะใช้ได้อย่างรวดเร็วแต่อย่างใด และครม.ยังมีเวลาเพียงพอในการออกในรูปแบบพ.ร.บ.ให้รัฐสภาเห็นชอบ เพราะขณะนี้อยู่ในสมัยสามัญนิติบัญญัติ และพ.ร.ก.นี้มีเพียง 13 มาตราเท่านั้น อีกทั้งในทางการเมืองรัฐบาลเองก็มีเสียงข้างมากในสภาการตรากฎหมายจึงจะทำได้โดยตลอด ไม่มีอุปสรรคใด

นายคำนูณ กล่าวว่า ในประเด็นที่ 3 มีการปรากฏในเฟชบุ๊คของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง ก็มีการระบุว่า ปัจจุบันสัดส่วนภาระการชำระหนี้เงินกู้ต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีของงบประมาณปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.33 โดยเป็นการชำระหนี้เงินต้นจำนวนร้อยละ 1.97 และชำระดอกเบี้ย 7.36 ดังนั้นรัฐบาลจึงมีขีดความสามารถในการชำระหนี้เงินกู้ได้อีก 5.67 จึงจะครบสัดส่วนการเพดานการชำระหนี้เงินกู้ร้อยละ 15 ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลของรัฐบาล ที่นายกิตติรัตน์ แจ้งต่อคณะรัฐมนตรีว่าสัดส่วนชำระหนี้ของรัฐบาลเหลือเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันอย่างมีนัยยะ และข้อ 4 ก่อนหน้าการออกพ.ร.ก.นี้มีการเผยแพร่ร่างของพ.ร.ก.จนส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ว่าจะทำให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงสินทรัพย์ของประเทศ ส่งผลให้ธนาคารของประเทศไทยในฐานะธนาคารของประเทศขาดเสถียรภาพ ขาดความน่าเชื่อถือในความมั่นคงทางการเงิน จนเกิดมีการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรี กับธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานกฤษฎีกา เป็นผลให้มีการแก้ไขความในพ.ร.ก.ดังกล่าว หลายมาตรา เมื่อพ.ร.ก.บังคับใช้แล้ว ยังมีเสียงทักท้วงจากสมาคมธนาคารไทยเนื่องจากจะเป็นการผลักภาระให้กับธนาคารพาณิชย์ของไทย และสูญเสียการแข่งขันการธนาคารต่างประเทศ และสูญเสียการแข่งขันกับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ การเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากรัฐบาลตราพ.ร.บ.งบประมาณตามปกติ เพราะจะมีเวลา และเวทีสร้างความเข้าใจในขั้นตอนของรัฐสภา

นายกิตติรัตน์ ชี้แจงเป็นคนสุดท้าย ว่า การอยู่ฝ่ายบริหารต้องบริหารรอบคอบ ตระหนักว่าการใช้ดุลยพินิจใดๆ ย่อมมีส.ส.และส.ว.จำนวนหนึ่งมีความเห็นแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การออกพ.ร.ก.คณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามมาตรา 184 ของรัฐธรรมนูญโดยได้ตระหนักถึงภารกิจในกรณีเพื่อรักษาความปลอดภัยจากภัยพิบัติและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาวะอุทกภัยที่ผ่านมาทำให้ตัวเลขสุทธิการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย

เมื่อนายกิตติรัตน์ ได้เริ่มอธิบายถึงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญมาตรา 184 เกี่ยวกับอำนาจในการตราพ.ร.ก.ปรากฎว่านายวสันต์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แย้งขึ้นทันทีว่า "ประทานโทษท่านรองนายกฯเพราะตอนนี้ประเด็นมันแคบเข้ามาแล้วหลังจากผู้ร้องได้ชี้แจงมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เป็นโอกาสชี้แจงของท่าน ไม่ต้องอธิบายรัฐธรรมนูญให้พวกเราได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง นี่ไม่ได้เป็นการประท้วงในสภาฯครับ แต่เป็นการเตือนท่านเพื่อรักษาเวลาเท่านั้น กรุณาชี้แจงในส่วนที่ผู้ร้องร้อง

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่าประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีประมาณ 4.2ล้านล้านบาท และสามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้นเพราะหนี้สาธารณะยังไม่ถึง 60%ของจีดีพี แต่ถ้าเราไม่มีการจัดการอะไรและมีความจำเป็นต้องกู้เงินอยู่จะส่งผลให้มีหนี้สาธารณะถึง 50% โดยในนั้นจะมีหนี้ส่วนหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ คือ หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านบาท จึงเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรมีการจัดบริหารหนี้ส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีการบอกว่าจะลดหนี้ก้อนหนี้อย่างไร

"หนี้ส่วนนี้เป็นของประเทศไม่มีความประสงค์ยัดเหยียดให้เป็นหนี้ของหน่วยงานใดเพียงลำพัง ส่วนการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กระทรวงการคลังได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว โดยเล็งเห็นว่าสถาบันการเงินของไทยในเวลานี้มีความเข้มแข็งภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศจนเงินในกองทุนของสถาบันมีสูงกว่า 8 หมื่นล้านบาท จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปกองเอาไว้ ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากก็ยังเปิดโอกาสให้สามารถกลับมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้อยู่แล้วในอัตราไม่เกิน 1%" นายกิตติรัตน์ กล่าว

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้เคยมีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศ กระทรวงการคลัง ธนาคารพาณชิย์ว่าอัตราการเรียกเก็บหากไม่เก็บเงินค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมไม่เกิน 0.52%จะไม่มีผลกระทบจนทำให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือเป็นเหตุให้กำไรของธนาคารพาณิชย์ลดลงส่งผลให้ผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย ซึ่งกรณีนี้เรียกเก็บเพียง 0.47%เท่านั้น

"การดำเนินการตามงบประมาณ 2555และ2556 มีจุดประสงค์ลดการขาดดุลงบประมาณลงและดำเนินการจัดตั้งระบบป้องกันภัยทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอาจใช้เวลายาวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ยืนยันว่าเรามีแผนงานแล้วโดยสอดรับแผนแม่บทลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีตครอบคลุมการฟื้นฟูป่า เส้นทางผันน้ำ การดำเนินการสร้างฐานข้อมูล และการกำหนดพื้นที่รับน้ำเพื่อรองรับหากเกิดกรณีที่มีปริมาณน้ำฝนมากเท่ากับปี2554 ยอมรับว่าการดำเนินโครงการจนมีความสมบูรณ์ในเม็ดเงิน 3.5 แสนล้านบาทต้องใช้เวลาอยู่บ้าง บางโครงการใช้เวลามากกว่า 1-2 ปี ซึ่งตอนนี้มีความพร้อมสำหรับการก่อสร้างสิ่งต่างๆเพระาหน้าที่ของรัฐบาล คือ การสร้างความมั่นใจผ่านกระบวนการวางแผนบริหารจัดการน้ำ ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมอีก " นายกิตติรัตน์ กล่าว

จากนั้นนายวสันต์ ถามว่า เมื่อมีการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ หนี้ส่วนนี้ยังไม่พ้นความเป็นหนี้สาธารณะใช่หรือไม่
นายกิตติรัตน์ ตอบว่า ยังเป็นหนี้สาธารณะ

นายวสันต์ ถามอีกว่า หมายความว่าการจะกู้เงินตามพ.ร.ก.สองฉบับที่ผ่านไปแล้ว (พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยพ.ศ.2555) รวมไปถึงพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ 3.5 แสนล้านบาทด้วย จำเป็นต้องผลักภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้พ้นก่อนถูกต้องหรือไม่เพื่อให้ภาระงบประมาณรายจ่ายในเรื่องนี้ลดลง

นายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่า ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2556 ต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดูแล และการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมงวดแรกจะเริ่มในวันที่ 31 ก.ค.2555 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความพร้อมในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมไปสมทบกับผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพราะมีกองทุนเพื่อฟื้นฟูฯมีทรัพย์สินที่ดูแลอยู่ส่วนหนึ่งและสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนในจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิณเอาไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

"ไม่มีข้อสมมุติว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องเอาผลกำไรจากการดำเนินงานของตัวเองมาสมทบในส่วนนี้ด้วย แต่ไม่เชื่อว่าจะมีเหตุผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องไปมุ่งแสวงหากำไรเพื่อมาลดหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ" นายกิตติรัตน์ กล่าว

นายวสันต์ ถามอีกว่า ตามหลักฐานที่ปรากฎรัฐบาลเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เข้าสู่สภาฯในเดือนพ.ย.2554 หลังจากนั้นมีช่วงเวลาปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปจนถึงปลายเดือนธ.ค.ทำไมรัฐบาาลไม่พิจารณาออกพ.ร.ก.ในช่วงนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหาว่าชิงออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดสมัยประชุมอยู่ เพราะถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงสภาปิดเสียงครหาจะน้อยกว่านี้

นายกิตติรัตน์ กล่าวพร้อมถอนหายใจบางช่วงว่า "เออ...ผมเองไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองครับ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ดำเนินการไม่ได้คำนึงถึงแนวคิดทางการเมืองเป็นหลัก แต่เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจ เรื่องของเงื่อนเวลาขอเรียนตามจริงว่าผมเองได้พูดต่อสาธารณชนหลายครั้งว่าการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุทกภัยซ้ำมีความจำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินหลายแสนล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาความเสียหายจากการสำรวจของธนาคารโลกและสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้น เรื่องเงื่อนเวลาจึงไม่คำนึงว่าถ้าจะไปเร่งตรงนั้นแล้วจะเกิดผลประโยชน์ที่ดีกว่าในทางการเมืองอะไร"

นายวสันต์ ถามเพิ่มเติมว่า ถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงปิดสภาฯจะมีข้อแก้ตัวได้แต่การที่มาออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดอยู่เหมือนไม่ให้ความเคารพฝ่ายนิติบัญญัติเลย ตรงนี้ทำไมไม่คิดออกตั้งแต่ตอนนั้น เพราะอุทกภัยก็เห็นๆกันอยู่ กว่าจะถึงสิ้นปี 2554 น้ำในบางแห่งก็ยังไม่แห้ง ซึ่งเห็นสภาพความเสียหายและวิธีการป้องกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว กรุณาตอบตรงนีดนึงว่าทำไมตอนนั้นจึงไม่คิดในช่วงเดือนธ.ค.2554 ทั้งเดือน

นายกิตติรัตน์ ถึงกลับถอนหายใจและชี้แจงอีกครั้งว่า การดำเนินการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (กยน.) ได้มีการประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ซึ่งการที่ทำให้เกิดกรอบที่ชัดเจนว่าเรามีความจำเป็นจะต้องลงทุนด้วยวงเงินงบประมาณเท่าไหรมีความจำเป็นที่ต้องมีคำอธิบาย ถ้าเราเร่งดำเนินการอะไรถ้ายังไม่เกิดความแน่ชัดว่าจะเป็น3.5 แสนล้านบาท หรือตัวเลขอื่นๆ และเสนอตัวเลขสูงเกินความจำเป็นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นได้เพราะมองว่ารัฐบาลชุดนี้อยากจะใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ การเสนอตัวเลขต่ำไปและในที่สุดต้องมาแก้ไขในภายหลังย่อมจะสูญเสียความเชื่อมั่นอีก

"เรื่องนี้ผมได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที 27 ธ.ค.ไม่ได้มีความเข้าใจหรือความชำนาญในเรื่องของการเสนอในช่วงสภาปิดหรือสภาเปิดแต่อย่างใดด้วยความเคารพ" นายกิตติรัตน์ กล่าว

จากนั้นนายบุญส่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่า พ.ร.ก.เกี่ยวกับหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯอยากทราบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไรกับแผนบริหารจัดการน้ำ

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ได้ชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เห็นว่าการที่พ.ร.บ.งบประมาณ 2555 มีความล่าช้าและดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล 4 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่ต้องลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาทและกองทุนประกันภัยพิบัติ 5 หมื่นล้านบาท เรากำลังดำเนินการเพื่อให้สอดรับกับงบประมาณ 2556 ที่เริ่มในเดือนต.ค.2555 และต้องกู้เงินตามความจำเป็น 1 ล้านล้านบาท ซึ่งการที่มียอดเงินสูง1 ล้านล้านบาทและมาเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มเติม หากไม่มีการดูแลหนี้สาธารณะเดิม 4.2 ล้านล้านบาทเพื่อให้ชำระหนี้ได้จะเป็นปัญหา และถ้าในปี2556 ดำเนินการล่าช้าจนนำไปสู่การตั้งงบประะมาณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยให้กับหนี้ 1.14ล้านล้านบาทอีกจะส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ถึงวินัยการเงินการคลังในเรื่องของความตั้งใจลดการขาดดุลลง

นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่า การที่ระบุว่าจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 0.47% และชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เพื่อมารับภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งการที่ระบุว่าถ้าการจัดเก็บไม่ถึง 0.52%จะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ฝากเงินและผู้กู้ ไม่สร้างความเดือดร้อนและเป็นภาระ จึงต้องการทราบตัวเลข 0.52%คำนวนจากอะไร และ การไม่ตั้งงบประมาณในปี 2556 เพื่อชำระดอกเบี้ยในหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯซึ่งและการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมงวดแรกจะเริ่มในวันที่ 31 ก.ค.2555 จึงสงสัยว่าถ้าเสนอเป็นพ.ร.บ.เข้ามาจะทันกับช่วงเวลาที่จะได้เงินค่าธรรมเนียมในเดือนก.ค.2555 หรือไม่

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้ข้อสมมติว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและเงินฝากของธนาคารยังคงยืนอยู่จุดเดิม ซึ่งการจ่ายเงินค่าธรรมเนียม 0.47% สิ่งที่เกิดขึ้น คือ กำไรก่อนหักภาษีเงินได้นิติบุคคลจะลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรที่ลดลงเป็นจ่ายในอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% แต่ขณะนี้ในปี 2555 รัฐบาลได้ประกาศชัดเจนว่าจะปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียง 23% ทำให้ผลกำไรสุทธิก็ยังคงเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นในอัตราของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 0.47%

"ผู้กู้ยังจ่ายดอกเบี้ยเหมือนเดิม ผู้ฝากยังรับดอกเบี้ยเหมือนเดิม ผู้ถือหุ้นที่รอรับเงินปันผลจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ ส่วนการกำหนดวันส่งเงินให้เริ่ม31ก.ค.เพราะการคำนวนฐานเงินฝากจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ไปจนถึงมิ.ย.เพื่อให้เริ่มการส่งเงินในเดือนก.ค.ได้ และถ้ากระบวนการจัดทำพ.ร.บ.ต้องใช้เวลานานจนทำให้รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงกับผู้เกี่ยวข้องและนำไปสู่การตั้งงบประมาณปี 2556 เพื่อดูแลดอกเบี้ยในหนี้ 1.14ล้านล้านบาทต่อไปย่อมเกิดความสงสัยว่าหนี้ส่วนนี้จะไม่เป็นหนี้ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณได้หรือไม่ ในทางกลับกันถ้าดำเนินการพ.ร.ก.จะช่วยให้รัฐบาลไม่ต้องดำเนินการตั้งงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยส่วนนี้ในปีงบประมาณ 2556 " นายกิตติรัตน์ กล่าว

มีรายงานว่า หลังการชี้แจงกว่า 3 ชั่วโมงนายบุญส่งได้แจ้งให้ทั้ง 2 ฝ่ายทราบว่าคณะตุลาการฯได้มีบันทึกถ้อยคำของผู้ชี้แจงไว้ทั้งหมดแล้ว และมีคำสั่งให้รับบันทึกที่นายกรณ์ นายคำนูณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอยื่นเพิ่มเติมรวมไว้ในสำนวนแล้วส่วนที่นายกรณ์ขอให้ศาลเรียกพยานบุคคลเข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติมรวม 3 ปาก คือนายปราโมทย์ ไม้กลัด กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน นายบรรเจิด สิงคเนติ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และที่นายคำนูณขอให้เรียกเพิ่มเติม คือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ศาลเห็นว่าไม่ใช่การไต่สวนพยานจึงไม่จำเป็นต้องเรียกพยานตามที่ขอแต่รับบันทึกถ้อยคำของบุคคลเหล่านั้นไว้ ซึ่งหลังจากนี้ศาลจะพิจารณาคำร้องดังกล่าวและนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 22 ก.พ. เวลา 14.00 น.

นายอภิสิทธิ์ กล่าวภายหลังเข้ารับฟังการชี้แจงว่า การชี้แจงของนายกรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญถือว่าละเอียด สมบูรณ์ชัดเจน เนื่องจากประเด็นที่ใช้ในการพิจารณาไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายว่าจะทำหรือไม่ทำ แต่เป็นหากไม่ทำแล้วจะกระทบกับนโยบายสาธารณะ กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือกระทบต่อการป้องกันภัยพิบัติหรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าเป็นเรื่องของความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ คิดว่าจากการชี้แจงก็ชัดเจนแล้วว่า หากไม่มีพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับก็จะไม่เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง และไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากไม่มีพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับไม่ได้ทำให้รัฐบาลขาดแหล่งเงิน เพื่อมาดำเนินการในเรื่องต่างๆ รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อแผนเฉพาะหน้า ความจริงแล้วหากจะชี้แจงด้วยความมั่นใจ

“ผมยังไม่เคยได้ยินใครตั้งคำถามว่าแผนงานที่รัฐบาลจะดำเนินการทั้งหมดจะเอาไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูที่ไหนอย่างไรหรือไม่ ที่ผ่านมาไม่เคยมีคำถามว่ารัฐบาลมีแผนป้องกันน้ำท่วมและจะสามารถกู้เงินมาใช้ได้หรือไม่ เพราะขั้นตอนกระบวนการทุกอย่างที่แท้จริงอยู่ที่การปฏิบัติงานมากกว่า เพราะฉะนั้นผมขอยืนยันว่าการออกพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ารัฐบาลยืนยันที่จะใช้แนวทางดังกล่าวก็ควรออกเป็นพ.ร.บ. ซึ่งสามารถทำได้ โดยออกเป็นฉบับละ 13 มาตรา”

ส่วนที่นายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่าพ.ร.ก.โอนหนี้ไม่ได้มีผลต่อตัวหนี้สาธารณะ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุผลดังกล่าวก็ชัดเจนว่าไม่จำเป็นเร่งด่วน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะถือว่าพ.ร.ก. ทั้งสองฉบับไม่สามารถใช้ดำเนินการได้ตั้งแต่ต้น แต่ถ้ารัฐบาลจะดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้ก็เสนอให้ออกพ.ร.บ.แทน เท่าที่รับฟังการชี้แจงของนายกิตติรัตน์ในวันนี้ รวมทั้งจากการที่ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์ก็มีความชัดเจนว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอีกทั้งเงินที่จะเข้ามานั้นก็ไม่ได้เข้ามาในปีงบประมาณดังกล่าวนี้ด้วย

เมื่อถามว่าจะต้องมีการแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือไม่ หากศาลพิจารณาว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมองว่าตามมารยาททางการเมือง ตนมองว่าหากครม.มีมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ต้องมีการออกมาแสดงความรับผิดชอบในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เมื่อถามอีกว่า ทางร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯออกมาระบุว่ามีความจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับร.ต.อ.เฉลิมอะไรก็ไม่มีความจำเป็นสำคัญทั้งนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องความจำเป็น แต่มองว่าเป็นเรื่องของมารยาทของการรักษาระบบความรับผิดชอบทางการเมือง ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาไปคุกคามพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด เมื่อถามว่าหากไม่มีการแสดงความรับผิดชอบกรณีดังกล่าวจะกระทบต่อบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำให้เห็นว่าเมื่อครม.ออกมติหรือแนวทางใดๆออกมาแล้วขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ยกเลิกแล้วทำใหม่ขึ้นมาก็ทำให้ครม.ในยุคถัดไปไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้เห็นว่าหากสิ่งไหนผ่านไปได้ก็ผ่านไป หากสิ่งไหนถูกจับได้ว่าทำผิดก็ยกเลิกแล้วทำขึ้นใหม่

ส่วนถ้ารัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบจะกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ขอไม่แสดงความเห็นว่าจะกระทบหรือไม่อย่างไร ส่วนจะเป็นเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคหรือไม่นั้นตนเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้ก็มีการทักท้วง และตนขอยืนยันว่าเจตนาของรัฐบาลชัดเจนมากขึ้นในการพิจารณาควบคู่กับเรื่องอื่นๆ ซึ่งขณะนี้การจะไปเก็บเงินธนาคารรัฐก็ไม่ได้นำมาช่วยเรื่องน้ำท่วมหรือนำมาใช้หนี้ แต่จะนำมาใช้เรื่องกองทุนพัฒนาประเทศ

ด้านนายกิตติรัตน์ ให้สัมภาษณ์ว่า มั่นใจในกระบวนการใช้ดุลยพินิจของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการออกพระราชกำหนดทั้ง4ฉบับ และรวมถึงกองทุนส่งเสริมการทำประกันภัยพิบัติด้วย โดยที่ตนชี้แจงนั้นเป็นประเด็นที่จะต้องลงทุนอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมอีกการวางระบบบริหารการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่มีการพิจารณาเป็นพระราชกำหนดในวันนี้ และการตั้งกองทุนส่งเสริมการทำประกันภัยพิบัติจำนวน 5 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 4 แสนล้านบาททั้งนี้จำเป็นต้องชี้ให้เห็นว่างบประมาณขาดดุลในปี 55 ที่ผ่านสภามา ใช้วินัยการคลังระดับเดียวกันกับรัฐบาลเดิมและในงบประมาณปี 56 ตนก็หลีกเลี่ยงที่ชี้แจงตัวเลขแต่ยืนยันว่าจะขาดดุลน้อยลงแน่ ซึ่งการดำเนินนโยบายการคลังที่วางงบประมาณให้ขาดดุลน้อยลง ก็คงจะปรากฏตัวเลขระดับหลายแสนล้านบาทเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อรวมเป็นตัวเลขเงินที่ต้องกู้ก็เกินกว่า 1ล้านล้านบาทที่จะต้องดำเนินการ

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เรามีตัวเลขของหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4.22 ล้านล้านบาท แต่การที่จะเริ่มเข้าไปใกล้เพดานร้อยละ 60 มากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องตอบให้ชัดเจนว่าหนี้เก่าที่เป็นหนี้สาธารณะเดิมที่มีระดับถึง 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เราจะต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วว่า เมื่อดำเนินการตามนั้น งบประมาณปี 56 ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งให้แล้ว ดังนั้นการดำเนินนโยบายขาดดุลน้อยลง มีวินัยเข้มแข็งขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้ แล้วก็ใครจะมาซักไซ้ไล่เรียงว่ามีหนี้เก่าไม่ดูแล ก็ไม่จริง เพราะมันชัดเจน โดยผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็เคยยืนยัน อย่างไรก็ตามหนี้สาธารณะนั้น ใช้เวลาอีกเพียงกว่า20ปีก็หมดลง แต่ความจริงแล้วไม่ต้องถึงขนาดหมดลงเลยก็ได้ ให้มันลดลงเรื่อยๆและอยู่ในสายตาผู้คน ก็ย่อมดีกว่า จะไม่ลดลงเลย และตอบใครไมได้ แล้วมาตั้งงบประมาณทุกปีละ6หมื่นล้าน เหตุนี้ตนจึงพยายามชี้แจงว่าอะไรเป็นสิ่งฉุกเฉิน เพราะช้าไปก็ต้องไปตั้งงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยปี56อีก สุดท้ายงบประมาณขาดดุลปี56 ก็ไม่ลงอีก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องอื่นๆ ก็ตามมาอีก

“เป็นเรื่องที่ระมัดระวัง อะไรที่ระวังได้ก็ควรระวัง ทั้งนี้การดำเนินการต่างๆถ้าผิดจนทำให้สังคมและประชาคมโลกไม่ยอมรับ หุ้นต้องตก แต่การที่ตลาดหุ้นไม่ตอบสนองในทางลบจากการที่รัฐบาลดำเนินการมา ตั้งแต่ตอนเป็นข่าวออกมาช่วงธันวาคม 54 ถึงมกราคมที่ผ่านมา ที่มีการพิจารณาแล้ว ก็เป็นสิ่งที่บอกว่ามาถูกทางในการมา แต่ก็ขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

เมื่อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญมีดุลยพินิจไม่ตรงกับที่คณะรัฐมนตรีมองจะเป็นอย่างไร นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่ไปล่วงล้ำ ขอเรียนว่ารัฐบาลดำเนินการตามมาตรา184 เพื่อป้องกันภัยพิบัติสาธารณะและรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และ ครม.ก็พิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน รีบด่วน อันมิอาจหลีกลี่ยงได้ หมายถึงการพิจารณาเรื่องอื่นมีความเนิ่นนานและอาจนำไปสู่การตั้งงบปี56 ที่ไม่แน่นอน ว่าจะมีการดำเนินการในส่วนลงทุนเพื่อป้องกันน้ำท่วม และระดับหนี้สาธารณะจะลดอย่างไร ทำให้เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง ตนก็เรียนเหตุผลที่ครม.ใช้พิจารณา ก็คงต้องรอผล

เมื่อถามต่อว่า หากศาลตีความว่าการออก พ.ร.ก.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญต้องแสดงออกอะไรหรือไม่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่ไปสมมติ

เมื่อถามย้ำอีกว่า ผู้ที่รับผิดชอบจะเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ก็รับผิดชอบด้วยกัน ก็ทำงานไปตามกฎหมาย ก็จะบริหารประเทศไปตามที่ควรเป็น อย่าไปตั้งข้อสมมติ เพราะการสมมติจะเป็นการไม่เคารพในดุลยพินิจที่จะออกทางหนึ่งก็ได้ เราก็ทำงานทั้งระบบ ก็พยายามทำงานที่ดีที่สุด ส่วนในเรื่องการที่ศาลติดใจซักถามในเรื่อง พ.ร.ก. โอนหนี้ ถึงความจำเป็นเร่งด่วนนั้น ตนมองเป็นเรื่องดี เพราะทำให้มีโอกาสในการอภิปราย และตนก็ได้อธิบายอย่างที่เป็นเหตุผลที่ ครม.ใช้ดุลยพินิจ



กำลังโหลดความคิดเห็น