xs
xsm
sm
md
lg

“ธงชัย” โวผิดพลาดมหันต์ครั้งประวัติศาสตร์ ถ้าไม่เชื่อ “นิติราษฎร์-ครก.112”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธงชัย วินิจจะกูล
“ธงชัย วินิจจะกูล” โผล่งานเสวนาหาเงินเคลื่อนไหวแก้มาตรา 112 ลั่นลัทธิกษัตริย์นิยมจะยิ่งผลักให้สถาบันฯกับประชาธิปไตยอันตรายมากยิ่งขึ้น ฟุ้ง “นิติราษฎร์-ครก.112” ยอมเจ็บตัวเพื่อหาทางออกให้สังคม แต่พวกต่อต้านกลับมองไม่เห็นความน่าสมเพช-อับจนของตัวเอง โวอีก 50 ปี ประวัติศาสตร์จะบันทึกเป็นความผิดพลาดมหันต์ที่ไม่ฟัง แถมยังผลักไสผู้ปรารถนาดี

วานนี้ (11 ก.พ.) ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ คณะรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 หรือ ครก.112 ได้จัดงานเสวนาหัวข้อ “ระบบสังคม การเมืองที่ขัดขืนการเปลี่ยนแปลง คืออันตรายที่แท้จริง” เพื่อหารายได้สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112

โดย นายธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประจำคณะประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา และหนึ่งใน ครก.112 ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มงาน ว่า ประชาชนที่มีส่วนเข้าชื่อเสนอตามกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก คนในสังคมต้องพูดคุยกันให้ดี เพราะเรื่องพรรค์นี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าใช้ความเชื่อตัดสินอะไรล่วงหน้า และต้องคุยกันโดยใช้สติปัญญา

ในต่างประเทศหลายองค์กรที่ทำเรื่องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ มองว่า การกระทำในไทยเป็นเรื่องที่น่าระอา เพราะฉะนั้นต้องมีการคุยกัน รู้จักจัดการกับความขัดแย้งและเป็นผู้ใหญ่เสียที เรื่องที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาในการอธิบายกับสังคมถึงเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีการรณรงค์ในเรื่องมาตรา 112 ในสังคม อยากให้สื่อมวลชนมีจรรยาบรรณ อย่าใช้หน้าที่สุมไฟ หรือสร้างความขัดแย้ง

นายธงชัย กล่าวต่อว่า การเสนอแก้มาตรา 112 เป็นการเปิดประตู อย่ามองว่าเป็นการปิดประตู หรือปฏิเสธความปรารถนาดี เพราะการแก้ไขมาตรา 112 เป็นวิถีทางที่จะไม่ให้นักเมืองดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อย่าคิดว่า การเคลื่อนไหวเป็นเกมทางการเมืองเพื่อเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือเป็นการล้มรัฐบาล แต่การแก้ไขดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติในระยะยาว

จากนั้น นายธงชัย ได้กล่าวปาฐกถา มีใจความบางส่วนว่า วิถีชีวิตของคนในชนบทและหัวเมืองเปลี่ยนไปมาก เข้าถึงการศึกษาระดับสูง ผู้คนรู้จักแสวงโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างตัวเอง ทั้งรู้จักการต่อรองต่อสู้เพื่อทรัพยากรจากภาครัฐด้วย นักวิชาการต่างประเทศเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ชาวนากลายเป็นชนชั้นกลาง” ผลก็คือ ผู้คนที่แต่ก่อนไม่ได้รับดอกผลของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเท่าไรนัก กลับตระหนักว่า การเลือกตั้งคือช่องทางที่เขาสามารถดึงทรัพยากรจากนโยบายและโครงการของรัฐบาลที่เขาเลือกให้กลับมาเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นของเขาได้ การเลือกตั้งคือช่องทางที่ชนชั้นกลางชนบทเหล่านี้ใช้เอาชนะระบบราชการ และระบอบการเมืองที่เอียงเข้าข้างคนกรุงมาตลอด ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย จึงสร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ขนาดใหญ่มหึมาขึ้นมา ซึ่งพลังทางการเมืองดังกล่าวต้องการระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง

ทักษิณไม่ได้ซื้ออำนาจจากชาวบ้านโง่ๆ แต่พลังทางการเมืองอย่างใหม่หรือชาวบ้านต่างหากที่สร้างทักษิณขึ้นมา ปรากฏการณ์ทักษิณเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่ววูบชั่วคราว ไม่ใช่ผลของยุทธวิธีทางการเมืองหรือเงิน แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว

แต่ผู้ครอบงำระบอบการเมืองไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาคิดว่ากำจัดปีศาจทักษิณแล้วทุกอย่างก็จะหมดปัญหา พวกเขาไม่เห็นว่าประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ซึ่งครอบงำการเมืองไทยมา 40 ปีต่างหากที่กำลังขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง

นายธงชัย กล่าวต่อว่า หลังรัฐประหาร 2549 พวกกษัตริย์นิยมโฆษณาประชาธิปไตยแบบไทยๆ มิใช่เพราะพวกเขาพยายามสร้างสิ่งใหม่ แต่เป็นการเรียกร้องให้ยึดมั่นอยู่กับประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ พวกเขากำลังฉุดรั้งขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว และการฝืนความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาคืออันตรายต่อสังคมไทย

ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ของพวกกษัตริย์นิยมอิงแอบสถาบันฯ อย่างมาก และคือ ตัวการใหญ่ที่สุดที่ดึงสถาบันฯ มาผูกกับการเมือง ส่งผลให้ประเด็นบางอย่างกลายเป็นปัญหาอย่างไม่ควรจะเป็น หากไม่ปรับตัว จะส่งผลให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันฯ กับระบอบประชาธิปไตย การปรับตัวหมายถึงต้องทำให้สถาบันฯ อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ต้องไม่มีการอ้างอิงสถาบันฯ เป็นแหล่งอำนาจอีกต่อไป ต้องไม่มีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบอบรัฐสภาที่มาจากประชาชน

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักลัทธิกษัตริย์นิยม เสนอว่า ระบอบการเมืองที่พวกเขาต้องการคือลดประชาธิปไตย เพิ่มพระราชอำนาจ ข้อเสนอเช่นนั้นจะยิ่งผลักให้สถาบันฯ ขัดแย้งกับกระแสความเปลี่ยนแปลงหนักยิ่งขึ้น และเป็นอันตรายของสถาบันฯ เอง

กฎหมายหมิ่นฯ เริ่มเป็นอาวุธทรงพลังก็ต่อเมื่อนักลัทธิกษัตริย์นิยมเอามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยสถาปนาประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ โดยถือว่าความผิดนี้ไม่ใช่แค่หมิ่นประมาท แต่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ภายใต้ระบอบเผด็จการอันยาวนานของไทย บรรดาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมที่ผิดปกติ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทประเภทหนึ่งจึงตกอยู่ใต้กระบวนการยุติธรรมที่ผิดปกติไปด้วย ความผิดปกติมีสาเหตุจากกระบวนการยุติธรรมที่สยบต่ออำนาจและรับใช้อำนาจเป็นอาจินต์ แถมยึดเอาอุดมการณ์และเหตุผลของรัฐเป็นมาตรฐานในการพิจารณาคดีความมั่นคงเหล่านี้

ความบิดเบี้ยวที่สำคัญ ได้แก่ มักถือว่าจำเลยกระทำความผิดร้ายแรงจนกว่าจำเลยจะพิสูจน์ได้ว่าตนบริสุทธิ์ ดังนั้น จึงมักไม่ให้ประกันตัว และภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับจำเลยแทนที่จะตกอยู่กับฝ่ายโจทก์ นอกจากนี้ การพิสูจน์ความผิดอาญาโดยปกติต้องเคร่งครัด หากไม่ชัดเจนต้องยกประโยชน์ให้จำเลย แต่คดีความมั่นคงมักตีความกฎหมายอย่างกว้างให้ครอบคลุมการกระทำที่ต้องสงสัย แม้ไม่ชัดเจนก็ตาม กรณีอากง ช่วยอธิบายความผิดปกติได้ดี

ความผิดปกติวิปลาสที่สำคัญที่สุด คือ เนื่องจากเป็นความผิดต่อความมั่นคง จึงเปิดให้ใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำที่สงสัยว่าเข้าข่ายความผิด สามารถแจ้งต่อเจ้าพนักงานได้ ต่างลิบลับจากคดีหมิ่นประมาททั่วไปซึ่งผู้เสียหายเท่านั้นจึงจะมีสิทธิฟ้อง ข้อเสนอของนิติราษฎร์ จึงระบุให้เอา ม.112 ออกจากหมวดความมั่นคง (ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง คอป.ของ ดร.คณิต ณ นคร ยังต้องพยายามหาทางออกเพื่อแก้ปมปัญหานี้ แต่ คอป.มิได้เสนอให้แยกความผิดตามมาตรา 112 ออกมาตั้งเป็นหมวดต่างหากจากคดีความมั่นคง แต่ให้ถือว่าความผิดต่อความมั่นคงชนิดนี้ต้องให้อำนาจแก่ผู้เสียหายหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบแทนเท่านั้นเป็นผู้ฟ้อง)

แต่สภาวะ Hyper-royalism ในสังคมไทย ถือว่า 112 เป็นมาตราศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแก้ไขหรือแตะต้อง ต่อให้ทำตามที่รัฐธรรมนูญอนุญาตก็ตาม เพราะมาตรา 112 เป็นมากกว่ากฎหมายอาญามาตราหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือบังคับควบคุมความคิดของลัทธิ Hyper-royalism

การใช้มาตรา 112 ยังเปลี่ยนไปตามเวลาอีกด้วย การใช้ในแบบล่าสุดระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือใช้ทำลายจิตวิญญาณ หมายถึงการใช้อย่างไร้ความปรานีจนกว่าจะยอมรับสารภาพ คือ มักจับไว้ก่อน ไม่ให้ประกันตัว พิจารณาลับ ลงโทษรุนแรง แต่ให้ความหวังว่าจะพ้นคุกได้เร็วถ้ายอมรับสารภาพ จนหลายคนยอมแพ้ในที่สุด นี่คือการทำร้ายถึงจิตวิญญาณ หากต้องการอิสรภาพทางกายต้องยอมแพ้ราบคาบทางมโนสำนึก หลังจากนั้น ชีวิตที่มีอิสระทางกายต้องกักขังจิตวิญญาณเสรีไว้ข้างในตลอดไป

นายธงชัย ยังกล่าวว่า ถ้าหากผู้สมาทาน Hyper-royalism ต้องการรักษามาตราศักดิ์สิทธิ์เพื่อหวังรักษาระบอบประชาธิปไตยอำมาตย์ไว้ ก็จะยิ่งผลักให้สถาบันฯ กับประชาธิปไตยขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น แต่หากไม่อยากให้อันตรายต่อสถาบันฯ และประชาธิปไตยสะสมมากไปกว่านี้ นิติราษฎร์ได้เสนอทางออกหนึ่งไว้ให้แล้วด้วยเจตนาที่ไม่อยากเห็นความขัดแย้งไปถึงจุดที่ทุกคนต้องสลดใจ

นิติราษฎร์ และ ครก.112 สามารถเอาตัวเองออกจากความเจ็บปวดในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขายอมเจ็บตัวเพื่อช่วยหาทางออกแก่สังคมไทย แต่พวกลัทธิกษัตริย์นิยมกลับยังมองไม่เห็นความน่าสมเพชและความอับจนของตนเอง

ในอนาคตอีก 50 ปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า เป็นความผิดพลาดมหันต์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ฟังนิติราษฎร์ และ ครก.112 แถมยังผลักไสทำร้ายความปรารถนาดีของพวกเขาเสียอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น