ผ่าประเด็นร้อน
การออกมาตีปี๊บเรื่องการปฏิวัติ รัฐประหาร รวมทั้งอ้างว่ากำลังมีคนวางแผนจ้องล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ก็ยังเป็นการปูดข่าวของโฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ รายเดิม ซึ่งการออกมาระบุดังกล่าวไม่รู้ว่าได้ปรึกษาหารือกับใครหรือไม่ ขณะเดียวกันหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าอาการแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อรัฐบาลกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยออกมาพูดแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน หากพิจารณากันแบบรู้ทันก็ต้องบอกว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สร้างความผิดหวังให้คนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะหากพิจารณากันเฉพาะพวก 15 ล้านเสียงที่เคยสนับสนุนอุ้มชูกันมา เพราะถ้าสำรวจในเวลานี้จะเหลือสักกี่คน
ที่ผ่านมาถ้าพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา ถือว่าไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรได้สักเรื่อง เพราะถ้าเอาแต่เรื่องใกล้ตัว เรื่อง “ค่าครองชีพ” ที่คุยโม้เอาไว้ว่าจะ “กระชากลงมา” เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้างล่ะ หน้าดำหน้าเขียวกันหรือยังเมื่อคนที่อยู่ในเมืองต้องเจอกับราคาข้าวราดแกงจานละ 35-40 บาท ไข่ดาวพุ่งขึ้นไปฟองละเกือบ 10 บาทหรือเกือบ 10 บาทเข้าไปแล้ว ราคาน้ำมันที่เดิมลดลงทันทีลิตรละ 6-7 บาท มาวันนี้เจอของจริงดีเซลลิตรละ 31.13 บาท เบนซิน91กำลังจ่อลิตรละ 40 บาทเข้าไปแล้ว ราคาก๊าซก็ไม่ต่างกันทยอยปรับราคากันไปทุกเดือน
ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงแบบมหาโหด ขนาดพ่อค้าแม่ค้าเสื้อแดงที่ก่อนหน้านี้เคยไชยโยโห่ร้องด้วยความยินดีกับการชนะเลือกตั้งได้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกมาวันนี้เริ่มเงียบเสียง แม้ยังเอาใจช่วย แต่ความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าเคยลงทุนซื้อกับข้าวมาหุงต้มนำมาขายวันละ 2 พันบาท มาวันนี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นวันละไม่ต่ำกว่า 3 พันบาท แถมยังขายไม่ออก เพราะคนต้องประหยัด ชักหน้าไม่ถึงหลังต้องคุมค่าใช้จ่าย เจอเข้าไปแบบนี้มันก็กระะอักกระอ่วนพูดไม่ออกเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อมาพิจารณาจากรายได้ ที่คาดหวังจากนโยบายประชานิยมตามที่โฆษณาหาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงวันละ 300 บาท ปรับเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท เอาเข้าจริงยังมีปัญหาทำไม่ได้ตามที่พูด เพราะต้องไปเกี่ยวข้องกับภาคเอกชน และเงินงบประมาณที่เวลานี้เริ่มถังแตก ขณะเดียวกัน หากคิดจะไปกู้มีการออกพระราชกำหนด 4 ฉบับทั้งในเรื่องการโอนหนี้สินกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาทไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับภาระ ก็มีพวกรู้ทันออกมาค้านหาว่าตกแต่งบัญชี เพื่อจะไปกู้เพิ่ม รวมไปถึง พระราชบัญญัติอีกฉบับที่จะกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมก็ถูกขวางอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนแบบคอขาดบาดตาย ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้สภาตรวจสอบ และนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่อีก
ความพยายามในเรื่องการจะเข้ามาฮุบ ปตท.โดยให้กระทรวงการคลังลดถือหุ้นจากร้อยละ 51 ให้เหลือร้อยละ 49 เพื่อให้พ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ เรื่องดังกล่าวก็ถูกต่อต้านทั้งจากคนไทยและพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพราะรู้ทันว่านี่คือการเข้าฮุบสมบัติชาติแบบเบ็ดเสร็จ
ที่ผ่านมาได้ “สะสมความไม่พอใจ” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การตั้งพวกหัวโจกคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ก่อการร้าย เผาเมืองให้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นลักษณะตบรางวัล รวมไปถึงการใช้เงินหลวงมาซื้อใจ เช่น การเยียวยารายละ 7.75 ล้านบาท
การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเป้าหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และล่าสุดถูกมองว่า “ปากว่าตาขยิบ” กับกลุ่ม นิติราษฎร์ที่ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และสิ่งที่คนไทยต้องมีอารมณ์ขาดผึงทนไม่ได้ก็คือการที่พวก “เด็กๆ” กลุ่มนี้เหิมเกริมต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ “ในหลวง” ต้องมายืนสาบานต่อหน้านักการเมืองชั่วๆในสภา
ประเด็นหลังที่แหละที่ทำให้สร้างอารมณ์ร่วมอารมณ์โกรธให้กับคนไทยพุ่งสูงขึ้นจนปรอทแตก เพราะถือว่าทำให้ “เหลืออด” แล้ว อย่างไรก็ดีอย่าได้แปลกใจที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล รวมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้อีกทีหนึ่งจะรีบออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มนิติราษฎร์ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่แตะต้อง มาตรา 112 ขณะเดียวกันก็รีบละล่ำละลักย้ำถึงเรื่องความจงรักภักดีกันแบบ “เน้นๆ” ผิดปกติ
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาจากแบ็กกราวด์ในอดีต ซึ่งไม่ต้องย้อนไปไกลมาก ทั้งพวกเด็กๆนิติราษฎร์พวกนี้ รวมไปถึงแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนล้วนแล้วแต่ร่วมเคลื่อนไหวไปด้วยกัน อีกทั้งเป้าหมายปลายทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคนพวกนี้ก็ล้วนแล้วแต่สออดคล้องต้องกันกับ ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องของการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายการเมือง หรือแม้แต่ตัวทักษิณ เองหากไปรื้อค้นดูพฤติกรรมและคำสัมภาษณ์เก่าๆทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หลายครั้งก็ส่อไปในทางให้เห็นว่าไม่ได้เคารพ หรือจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหลักฐานบันทึกวันเวลาให้เห็นอย่างเด่นชัด เห็นตำตากันอยู่โต้งๆ
แต่เมื่อออกตัวแบบโยนหินถามทางไปแล้วกลายเป็นว่ากระแสสังคมตีกลับเข้ามาแรงกว่าที่คิดมันก็ต้องรีบกลับมาปรับขบวนกันใหม่ ออกท่าทางแสดงให้สังคมเห็นว่าอยู่คนละพวกกับ นิติราษฎร์ เพราะรู้ว่าถ้ายังขืนเดินหน้าก็มีโอกาสพังครืนแบบไปไม่กลับ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลงานของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องสาวตัวเอง นับวันยิ่งได้เห็น “ความกลวง” ออกมาได้เรื่อยๆ และอย่าได้แปลกใจที่เพียงแค่ระยะเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมาไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่สร้างความเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ ข้างยากหมากแพงกว่ายุคใดๆ “สะสมความไม่พอใจ” กันแบบรายวัน
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าวนี่แหละที่ทำให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกำลังนั่งไม่ติด โดยเฉพาะเรื่องคนเสื้อแดงล้มเจ้า พัวพันกับนิติราษฎร์ล้มเจ้า แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เกี่ยว แต่จะมีคนเชื่อหรือไม่ ไม่อาจประเมินได้ และด้วยสาเหตุหลายอย่างมาผสมกันมันก็เกิดอาการหวาดผวา เหมือนกับว่าแค่เห็นลมพัดใบไม้ไหวก็สะดุ้งโหยงแล้วอะไรประมาณนั้น ทำนองเดียวกันเรื่องขบวนการล้มเจ้า แม้ว่าจะย้ำว่าไม่เกี่ยว แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยับยั้ง แถมยังมีเว็บอุบาทว์ผุดขึ้นมาเกลื่อนเมืองแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็จำเป็นที่จะต้องออกมาตีปี๊บดักคอยกเอาเรื่อง รัฐประหารล้มรัฐบาลออกมาใช้อีก เป้าหมายก็เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดและล้มเหลวของตัวเองเท่านั้น
นาทีนี้หากผลงานของรัฐบาลยังไม่เอาอ่าวต่อไป อีกไม่นานมันก็ต้องนับถอยหลังแน่นอนอยู่แล้ว!!