“กิตติรัตน์” ปัด ครม.ใหม่ใกล้ชิด “ทักษิณ” ยังไม่จำนนยันนายกฯ ตั้งเอง และมั่นใจอยู่เกิน 6 เดือน โวเป็น รมว.คลังทำงานถนัดกว่า รมว.พาณิชย์ เชื่อเก็บภาษีได้มากขึ้น ฟุ้งไม่นานระดับการขาดดุลงบประมาณจะค่อยๆ ลดลงสู่จุดที่ตั้งใจไว้
วันนี้ (19 ม.ค.) ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยน เป็นคนใกล้ชิดตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นคนที่ใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเป็นผู้แต่งตั้งด้วยตัวเอง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีความมั่นใจจะทำงานร่วมกันได้
เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้จะทำงานถึง 6 เดือนหรืออยู่ถึงเดือนพฤษภาคมนี้หรือไม่ นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ตนมีความมั่นใจ
เมื่อถามว่าการทำหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายการเงินการคลังอย่างไรบ้าง นายกิตติรัตน์กล่าวว่า การทำงานในหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ก่อนหน้านี้ได้ทำงานใกล้ชิดกับนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการทำงานในส่วนที่เป็นวินัยการคลังด้านงบประมาณ ตนเชื่อว่าขณะนี้ทำงานอยู่ในโค้งสุดท้ายก่อนที่จะปิดกรอบ และแนวทางการขาดดุลงบประมาณจะลดลงตามที่มีแนวทางไว้ ส่วนจะเป็นเท่าไหร่อย่างชัดเจนนั้นอีกไม่กี่วันก็จะดำเนินการเสร็จ
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการหลักๆ ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนขอย้ำว่าที่ดำเนินมาในบางเรื่องอาจจะถูกมองเป็นนโยบายประชานิยมนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ประกอบกันทั้งหมด โดยทิศทางของกระทรวงการคลังที่ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงอื่นๆ โดยเฉพาะกรมต่างๆ กรมที่จัดเก็บภาษี ก็ไม่มีแผนเปลี่ยนแปลงอะไร และอัตราการจัดเก็บภาษี นิติบุคคลที่ประกาศไว้ในนโยบายก็จะลดลงต่อเนื่องตามที่มีความเข้าใจ โดยอัตราภาษีอื่นก็ยังคงเดิม แต่เชื่อว่าน่าจะจัดเก็บได้มากขึ้นจากฐานภาษีกว้างขึ้น รวมทั้งมีประสิทธิภาพดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจขยายตัวและการซื้อภายในประเทศ การสร้างปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่จะต้องดูแลไม่ใช่เฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำ
“สิ่งหลักๆ เหล่านี้ก็จะดำเนินต่อไป แต่ถ้าหากว่าเจาะจงเป็นเรื่องอื่น กระทรวงการคลังมีหน้าที่ประสานงานอีก 2 ด้านคือ ด้านตลาดเงินและตลาดทุน ผมก็จะปรึกษากับหน่วยงานราชการที่ดูแลนโยบายทั้ง 2 ด้านอยู่ ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงทำให้กังวลอะไร” นายกิตติรัตน์กล่าว
เมื่อถามว่า ถนัดกว่างานที่ดูกระทรวงพาณิชย์มาก่อนหรือไม่ เพราะเคยดูเรื่องของเงิน นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ตนคิดว่ามีความถนัด ซึ่งช่วงที่อยู่กระทรวงพาณิชย์ หลายคนไม่ทราบว่าตนเคยทำงานในแวดวงเกี่ยวข้องสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเกษตรมาก่อนอยู่งานด้านการเงิน ซึ่งยอมรับงานกระทรวงพาณิชย์ มีงานที่มากและต้องควบคู่รองนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องประสานกับกระทรวงอื่นๆ และท่ามกลางการแก้ไขปัญหาน้ำเป็นงานที่ไม่ง่าย กว้างขวางมาก และงานที่กระทรวงการคลังนั้นยอมรับมีความถนัดมากกว่า แต่ก็จะทำงานร่วมกันกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้ต้องขอดูให้รอบคอบก่อน และอย่าปักธงว่าจะต้องเป็นอย่างไร เพราะต้องดูสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นรอบโลกด้วย แม้ไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นใจในตัวเองจริง แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับโลกก็เป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่ยุโรปกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ ซึ่งหากแก้ไขปัญหาได้ดีแบบหนึ่ง ไทยก็จะดำเนินนโยบายอีกแบบหนึ่ง แต่หากแก้ไขปัญหาแล้วเกิดความยุ่งยากหรือยืดเยื้อ ไทยก็อาจจะต้องประคองตัวเองไปอีกแบบหนึ่ง ก็ไม่อยากรีบด่วนฟันธงว่าจะภายในกี่ปี แต่สิ่งที่ตนเชื่อมั่นคือระดับการขาดดุลงบประมาณจะค่อยๆ ลดลงสู่จุดที่ตั้งใจไว้