สี่เดือนแห่งความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กรณีรมต. กระทรวงพลังงาน เป็นตัวอย่าง

การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ ของ รัฐบาล ยิ่งลํกษณ์ ชินวัตร โดยมีการปรับออก - การสับเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจหลายกระทรวง ทั้งๆที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งกันได้พียง 4 เดือนเท่านั้น ถือเป็นการสะท้อน และยอมรับถึงความล้มเหลว ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ จนต้องจัดทัพ รีแพกเก็จจิ้ง กันใหม่ ด้วยความหวังว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ จะช่วยสร้างภาพใหม่ ลบภาพความล้มเหลวในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาได้

รัฐมนตรีหลายคนที่ถูกปรับออกไปแล้ว ออกไปเลย เมื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ มีภาพของ นักบริหารมืออาชีพ มีความกระตือรือร้น มีวิสัยทัศน์ ไอเดียใหม่ๆ มานำเสนอต่อสื่อทุกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลงานที่ปรากฏ ได้ลบล้างภาพปลอมๆที่สร้างไว้จนหมดสิ้น

นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นสองรัฐมนตรี ที่เข้าข่าย ภาพดี แต่ทำงานไม่เป็น จนต้องถูกปลดออก ทั้งๆที่ คนหนึ่งถิอว่า เป็นข้ารับใช้ ของตระกูลขินวัตร อีกคนหนึ่ง เป็น นายทุนที่จ่ายเงินสนับสนุนพรรคอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับ กรณีของนายพิชัย การถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เพราะนายพิชัย นอกจากจะจ่ายเงินเข้าพรรคเป็นจำนวนมากแล้ว ยังพยายาม “ อ่านใจ” และสนองตอบต่อความต้องการของ นช. ทักษิณ ชินวัตรทุกอย่าง

ตอนที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ นโยบายที่นายพิชัยชอบป่าวประกาศเสมอ คือ การดึงเงินทุนสำรอง ที่แบงก์ชาติ ดูแลอยู่ มาตั้ง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อไปลงทุนในแหล่งพลังงานในต่างประเทศ ทั้งๆที่ บริษัท ปตท. สผ. มีการลงทุนในการสำรวจ และผลิตพลังงานในต่างประเทศอยู่แล้ว จนกระแสการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ถูกตีตกไป นายพิชัยจึงเลิกพูดถึงเรื่องนี้

ผลงานชิ้นแรกของนายพิชัย ในฐานะเจ้ากระทรวงพลังงานคือ การงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากผู้ใช้น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคเพือ่ไทยใช้หาเสียง การงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม ปีที่แล้ว ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงทันที 7-8บาท และน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 3 บาท

แต่การงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนี้ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ นโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนของกระทรวงพลังงาน ที่ดำเนินมาก่อนหน้านั้น เพราะทำให้ส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซิน กับแก๊สโซฮอลล์ ลดลงเหลือเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ผุ้ที่ใข้แก๊สโซฮอลล์ หันมาใช้น้ำมันเบนซิน ทำให้ในวันรุ่งขึ้น กระทรวงพลังงาน ต้องลดการเก็บเงินเข้ากองทุน - เพิ่มเงินอุดหนุน สำหรับแก๊สโซฮอลล์

นโยบาย งดเก็บเงินเข้ากองทุน ในช่วงนั้น มีลักษณะ “ มั่วๆ” เพราะขาดการศึกษาอย่างรอบคอบ ต้องการเพียงแต่ตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองเฉพาหน้าเท่านั้น จึงมีการปรับเปลี่ยนแทบจะทุกวัน และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 4 เดือน รัฐบาลก็ต้องฉีกนโยบายนี้ทิ้ง กลับมารีดเงินจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท และผู้ใช้น้ำมันดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ เข้ากองทุนฯตามเดิม เพราะกองทุนน้ำมัน หมดตัว จากนโยบายของนายพิชัย

สี่เดือนของนายพิชัย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงงาน ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือ บริษัท ปตท.จำกัด เพราะเป็นครั้งแรก ที่ ปตท.สามารถผลักดันให้รัฐบาลขึ้นราคาแก๊สเอ็นจีวี และแอลพีจี ในภาคขนส่งได้สำเร็จ โดยเป็นการปรับขึ้นราคาถึง 70 % ภายใน 1 ปี แม้ว่า เมื่อผู้ประกอบการขนส่ง และรถแท๊กซี่ รวมตัวกันประท้วงต่อต้านการขึ้นราคา จนทำให้ รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการสัญญาว่า จะขึ้นราคาเพียงแค่ 4 เดือนๆละ 50 สตางค์ ก่อน แต่ก้ต้องถือว่า เป็นชัยชนะของ ปตท. แล้ว ที่สามารถขึ้นราคาแก๊สเอ็นจีวี ได้ถึง 2 บาท ภายในเวลา 4 เดือน

ท่าทีของนายพิชัย ต่อการขึ้นราคาแก๊สเอนจีวี และแอลพีจี ของ ปตท. ท่าทีของนายพิชัยต่อผู้ประกอบการขนส่ง และแท็กซี่ ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นราคา เป็นสิ่งทีพิสูจน์ชัดเจนว่า รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะต้องดูแลราคาพลังงาน ให้เป็นธรรมกับประชาชน กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ ปตท. รู้เห็นเป็นใจให้ ทุนใหญ่ที่ผูกขาดกิจการพลังงานของชาติ หากำไรจากประชาชนตามชอบใจ

มีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานบอร์ด ปตท. ก็ผิดหลักการกำกับดูแลอยุ่แล้ว ยังมีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ควบตำแหน่ง รมต.กระทรวง ปตท. ด้วย ประชาชน ก็คือ ลูกไก่ในกำมือของ ปตท. ดีๆนี่เอง

การชุมนุมประท้วงของผู้ประกอบการขนส่ง และแท็กซี่ กรณีป ตท. ขึ้นราคา แก๊สเอ็นจีวี การประท้วงของผู้ที่ได้รับคูปองส่วนลดเครื่องใช้ฟ้า สะท้อนถึงความหย่อนยาน ไม่ใส่ใจ ทำงานไม่เป็นของนายพิชัย เมื่อเกิดปัญหาขึ้น นายพิชัยไม่สามารถเผชิญหน้า และแก้ปัญหาเองได้ ต้องให้ปลัดกระทรวงพลังงาน ไปเจรจากับแท็กซี่ ให้รองนายกรัฐมนตรี เจรจากับผู้ประกอบการขนส่ง ให้อธิบดีกรมพัฒนาและอนุรักษ์ พลังงานทดแทน รับหน้าผู้ประท้วง

สิ่งเหล่านี้ เป็นภาพสะท้อนถึงความล้มหลว ทำงานไม่เป็นของ รัฐบาล เป็นจุดอ่อน ที่ ต้องถูกกำจัด ทำให้นายพิชัยต้องถูกปลดจากตำแหน่งอย่างไม่คาดฝัน เพราะก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ยังวางแผนที่จะปลดปลัดกระทรวงกันอยู่เลย