“ชวนนท์” ฉะนิติราษฎร์บิดเบือนข้อเท็จจริง หลอกลวงสังคม แก้ ม.112 ยันสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นปฏิปักษ์กับ ปชต. ชี้ ม.112 ไม่เคยมีปัญหาจนมีพวกปลุกปั่นล้มเจ้าเกิดขึ้น สงสัยเจตนารมณ์ดันแก้ ม.112 แต่ไม่แก้ ม.133-134 หมิ่นประมาทประมุขและผู้แทนรัฐต่างประเทศ จี้ “ปู” เลิกเล่นบทหนูไม่รู้ ตอบให้ชัดจะเอาอย่างไร ด้าน “อรรถพร” ตั้งคำถาม ต้องการแก้ ม.112 หรือต้องการเปลี่ยนแปลงระบบปกครองประเทศ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการล่ารายชื่อของกลุ่มนิติราษฎร์เพื่อเสนอให้แก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภมพว่า มีหลายอย่างที่นักวิชาการเหล่านี้พูดขาดความจริงและขาดความสำนึกในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น มีการเอาเรื่องการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความมั่นคงของชาติ ซึ่งตนไม่ทราบว่ากลุ่มนักวิชาการเหล่านี้เติบโตในประเทศไหน แต่คนไทยทุกคนเข้าใจว่าความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ คือความมั่นคงของประเทศไทย ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ส่วนที่มีการอ้างว่าถ้าไม่ปล่อยให้มีการวิจารณ์อย่างเสรีจะทำให้สถาบันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนสงสัยว่านักวิชาการคณะนี้ไปศึกษาหาความรู้มาจากไหน เพราะสถาบันไม่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ตรงกันข้ามกลับอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งการกล่าวอ้างดังกล่าวเพื่อต้องการให้มีการแก้มาตรา 112 เพื่อให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงใช่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีการเรียกร้องให้แก้ไขมาตรานี้ แต่ทำไมไม่มีการเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 113 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหมิ่นบุคคลธรรมดาด้วย อีกทั้งมาตรา 133-134 โทษฐานหมิ่นประมาทประมุขและผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งมีโทษจำคุก 1-7 ปี ทำไมคณะนิติราษฎร์ไม่มีการเรียกร้องให้แก้ไข แต่กลับเรียกร้องให้แก้ไขมาตราที่หมิ่นประมุขของประเทศตนเอง และพยายามจะแยกคดีหมิ่นประมาทพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้แบ่งแยกการคุ้มครองออกจากเรื่องพระมหากษัริย์ เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ และไม่มีการกำหนดโทษเพดานต่ำสุด แต่ไปกำหนดโทษสูงสุดเพียง 3 ปี ซึ่งหมายความว่าบุคคลใดที่ดำเนินการหมิ่นประมาทรัชทายาท หมิ่นพระราชินี อาจจะมีช่องว่างให้ไม่ต้องมีการรับโทษใช่หรือไม่
นายชวนนท์กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้คณะนิติราษฎร์ต้องการจะบิดเบือนข้อเท็จจริงและหลอกลวงสังคมไปในทางที่สร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พยายามทำให้เห็นว่าการบังคับใช้และบทบัญญัตติของกฎหมายมีปัญหา ทั้งที่กฎหมายนี้ไม่เคยมีปัญหาเลย
“จนมีพวกที่พยายามคิดล้มเจ้าผลิกแผ่นดินเท่านั้น ถึงได้มีคดีความเหล่านี้มากขึ้น อย่างที่คณะนิติราษฎร์กล่าวอ้าง 478 คดีในปี 53 ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายที่มีปัญหา แต่เป็นเรื่องของจิตใจของคนไทยเริ่มมีปัญหาเพราะโดนปลุกปั่นหลอกลวงเข้าไปข้องเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว และอาจจะมีพวกนักวิชาการกำมะลอบางกลุ่มที่ออกมาให้ข้อมูลบิดเบือน สร้างความเท็จรายวันให้เกิดความแตกแยกกับคนไทย จึงอยากให้มีการทบทวนและอยากให้ประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังต่อการแสดงออกต่อสาธารณชนของคนกลุ่มนี้ ที่สำคัญรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยควรออกมาพูดให้ชัดเจน อย่าเล่นหลายหน้า เพราะกลุ่มคณะนิติราษฎร์เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาล ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะเล่นบทหนูไม่รู้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบต่อจิตใจสังคมไทย ยกเว้นพวกนักวิชาการกำมะลอ หรือพวกเศษสวะสังคมกลุ่มนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด แปลว่าสนับสนุนใช่หรือไม่” นายชวนนท์กล่าว
ด้าน นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้สาธาณชนจับตาเจตนาที่แท้จริงของกลุ่มนิติราษฎร์ว่าต้องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีเป้าหมายที่ไกลไปกว่านั้น
นายอรรถพรกล่าวว่า การรณรงค์ของกลุ่มนิติราษฎร์อาจมองได้ว่าเป็นเสรีภาพในเชิงวิชาการหรือการเคลื่อนในมุมของสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ในภาวะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยวิกฤตรอบด้าน เช่น ปัญหาความขัดแย้งจากกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเยียวยาคนเสื้อแดง ความตกต่ำทางเศรษฐกิจจากมหาอุทกภัย และราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำลงทุกชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่วิกฤตการที่รุนแรงอย่างยิ่งในปี 2555 การเร่งรีบเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ก็จะยิ่งทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งร้าวลึกมากยิ่งขึ้น และอาจรุนแรงกว่าทุกประเด็นความขัดแย้งในขณะนี้ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมประเทศไทย สาธารณชนจึงควรตั้งคำถามว่า เป้าหมายของกลุ่มนิติราษฎร์ที่แท้จริงคืออะไร
“กลุ่มนิติราษฎร์ก็รู้ว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นเรื่องยากที่จะทำสำเร็จ เพราะสังคมไทยยอมรับไม่ได้ และพวกเขาก็รู้ต่อไปด้วยว่าการผลักดันในเรื่องนี้ต่อไปก็จะยิ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ และความขัดแย้งในสังคมทุกระดับลุกลามบานปลายออกไปจึงอาจกลายเป็นภาวะความรุนแรง แต่กลุ่มนิติราษฎร์ก็ยังเดินหน้าต่อไปไม่ยอมหยุด ผมจึงมองเจตนาของคนกลุ่มนี้ได้เพียงประการเดียว คือ ต้องการให้สถาบันหลักของบ้านเมืองเกิดความสั่นคลอน และเมื่อประสานแผนกับคนกลุ่มอื่นๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกันสถานการณ์ก็อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์รุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระบบของประเทศ และนั่นผมเชื่อว่าคือเป้าหมายที่แท้จริง” นายอรรถพรกล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามถึงแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ว่า ในขณะที่คนกลุ่มนี้ทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ที่ถูกกฎหมายห้ามมิให้วิพากษ์วิจารณ์ ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายสถาบันเบื้องสูง แต่กลับมีชีวิตอย่างปกติเมื่อเห็นผู้นำบางคนเอาสัมปทานของชาติไปขายให้ต่างชาติ แทรกแซงองค์กรอิสระ หรือฆ่าหมู่ที่กรือเซะ-ตากใบ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์บางคนยังเข้าร่วมเคลื่อนไหวและมีผลประโยชน์ร่วมในขบวนการของผู้นำคนนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ผมจึงขอเรียกร้องให้อาจารย์เหล่านี้ พอเถอะครับ อย่าทำร้ายหัวใจของคนไทยและประเทศไทยมากไปกว่านี้เลย” นายอรรถพรกล่าวในท้ายที่สุด