เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555 มีการเปิดตัวคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยมีเป้าหมายรณรงค์ล่ารายชื่อประชาชนให้มาร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
บ้านเมือง “ร้อน” ขึ้นทันตาเห็น !
เพราะคณะนี้เขามีร่างฯแก้ไขเพิ่มเติมไว้แล้ว เป็นร่างฯที่จัดทำให้คณะนิติราษฎรที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเขามาตั้งแต่ปีที่แล้ว และที่เห็นเป็นระบบชัดเจนที่สุดก็ในเอกสารเผยแพร่ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2554
โดยทั่วไปเขาจะใช้คำว่า “แก้ไข” แต่ดูรายละเอียดทั้งหมดแล้วนอกจากจะมีค่าเท่ากับ “ยกเลิก” แล้วยังเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างประมวลกฎหมายอาญาในส่วนความมั่นคงแห่งรัฐครั้งสำคัญ
1. ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
2. เพิ่มเติมลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3. แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
4. แก้ไขอัตราโทษ โดยไม่บัญญัติอัตราโทษขั้นต่ำ ลดอัตราโทษขั้นสูง เพิ่มโทษปรับ โดยเปรียบเทียบกับอัตราโทษที่ใช้ในกรณีของบุคคลทั่วไป ให้การกระทำผิดต่อพระมหากษัตริย์สูงกว่าบุคคลทั่วไป 1 ปี และแยกแยะทาของการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นออกจากกัน
5. บัญญัติเหตุยกเว้นความผิดในกรณีติชมหรือแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
6. บัญญัติเหตุยกเว้นโทษในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่หากการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนห้ามไม่ให้พิสูจน์
7. ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษ ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษ
เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าคณะนิติราษฎร์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าคณะที่รณรงค์ล่ารายชื่อและคนที่ร่วมลงชื่อจะรู้ทั้งหมดหรือไม่ ?
คณะนิติราษฎร์กำลังสานต่อการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ให้สำเร็จ !
คณะนิติราษฎร์กำลังจะเสนอให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับไปสู่สถานะหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2475
พูดง่าย ๆ ว่าคณะนิติราษฎร์ต้องการใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 มีอายุบังคับใช้อยู่เพียง 5 เดือนเศษมาเป็นหลักในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย
ประเด็นนี้ผมเคยบอกท่านผู้อ่านมาแล้วเมื่อเห็นแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์เนื่องในโอกาสครบ 5 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่าก่อนหน้านี้บรรดาคนที่คัดค้านการรัฐประหาร รวมทั้งนปช. และพรรคเพื่อไทย เสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง หรือไม่ก็ให้เอามาใช้แทนเลย แต่คณะนิติราษฎร์ไปไกลกว่า โดยให้ค่ารัฐธรรมนูญ 2540 ไว้จำกัดจำเขี่ยมาก เพราะให้ย้อนไปดึงเอารัฐธรรมนูญของคณะราษฎรมาเป็นต้นแบบกันเลยทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ตามมาด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นี่เป็นหลักการใหม่ที่ทั้งนปช.และพรรคเพื่อไทยยังไม่เคยพูดชัดเจนมาก่อน ย้อนไปดูความในแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ประเด็นที่ 4 ข้อ 2 กันทุกตัวอักษรนะ
“...เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่จะนำมาใช้เป็นต้นแบบในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สมควรเป็นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และอาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในส่วนของการประกันสิทธิและเสรีภาพตลอดจนโครงสร้างสถาบันการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่าที่สอดคล้องกับพัฒนาการในยุคร่วมสมัยมาเป็นแนวทางในการยกร่าง”
รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกลดคุณค่าไปแค่ “อาจนำ” มาร่วมพิจารณาเฉพาะส่วนโครงสร้างสถาบันทางการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญาและแนวทางหลัก
รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 คืออะไร ?
รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้น 3 วันหลังคณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากในหลวงรัชกาลที่ 7 โดยคณะราษฎรเป็นผู้จัดทำฝ่ายเดียวแล้วนำมาถวายพระองค์ท่าน แม้พระองค์อาจไม่ทรงเห็นด้วยในเนื้อหาบางประการ แต่ด้วยพระราชปณิธานสูงสุดที่ไม่ต้องการให้แผ่นดินนองเลือดจึงทรงยินยอม แต่ก็ลงพระอักษรกำกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ว่า “ชั่วคราว” อันเป็นผลให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พระองค์ท่านมีส่วนร่วมพระราชทานความเห็นด้วยออกมาประกาศใช้ในอีก 5 เดือนเศษต่อมาในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งมีเนื้อหาบางประการแตกต่างออกไป
ในรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีคำว่า “พระมหากษัตริย์” เหมือนรัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อ ๆ มา โดยใช้คำว่า “กษัตริย์” เฉย ๆ
หลักการสำคัญอันเป็นเสมือนการแสดงเจตนารมณ์ปฏิบัติประชาธิปไตย-เปลี่ยนระบอบบรรจุอยู่ในมาตรา 1 ด้วยข้อความที่สั้น กระชับ เมื่อพูดถึงอำนาจสูงสุดของประเทศก็มีแต่คำว่า “ราษฎร” เท่านั้น ไม่มีข้อความต่อมาที่ระบุถึง “พระมหากษัตริย์” ไว้ในมาตราเดียวกันเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มา
“อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
ไม่ใช่แต่เพียงภาษาเท่านั้นแต่ฐานภาพของ “กษัตริย์” ตามรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่เหมือน “พระมหากษัตริย์” ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาทุกฉบับต่อจากนั้น
อ่านหมวด 1 ข้อความทั่วไป และหมวด 2 กษัตริย์ ดูก็พอจะรับรู้อารมณ์และเจตนารมณ์ได้
ที่สำคัญและเชื่อมโยงไปถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่คณะนิติราษฎร์เสนอให้ยกเลิกด้วยก็คือ รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อมาบัญญัติคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ไว้เด็ดขาด ดังเช่นความในมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็เหมือนฉบับ 2540 และฉบับอื่น ๆ ก่อนหน้า...
“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ / ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
หลักการนี้มีที่มาที่ไปที่แสดงลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษของประเทศไทย และเพราะมีหลักการนี้บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเหตุให้มีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ถ้าหลักการนี้ไม่คงอยู่ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ไม่มีฐานรองรับ
แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ก็ยังคุ้มครองฐานภาพของ “กษัตริย์” แต่ไม่ได้คุ้มครองไว้เด็ดขาดเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาทุกฉบับจนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ว่า...
“กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย”
และไม่ใช่แค่ยกเลิกมาตรา 112 หรือแก้ไขแบบปรับเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมดเท่านั้น
ขณะนี้คนบางกลุ่มยังต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กลับไปสู่สถานะก่อนปี 2500 และก่อนปี 2490
.............................................
(ท่านผู้อ่านช่วยเติมบรรทัดสุดท้ายให้ข้อเขียนชิ้นนี้ด้วยหลังรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรกันอยู่แล้ว !!)
บ้านเมือง “ร้อน” ขึ้นทันตาเห็น !
เพราะคณะนี้เขามีร่างฯแก้ไขเพิ่มเติมไว้แล้ว เป็นร่างฯที่จัดทำให้คณะนิติราษฎรที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเขามาตั้งแต่ปีที่แล้ว และที่เห็นเป็นระบบชัดเจนที่สุดก็ในเอกสารเผยแพร่ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2554
โดยทั่วไปเขาจะใช้คำว่า “แก้ไข” แต่ดูรายละเอียดทั้งหมดแล้วนอกจากจะมีค่าเท่ากับ “ยกเลิก” แล้วยังเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างประมวลกฎหมายอาญาในส่วนความมั่นคงแห่งรัฐครั้งสำคัญ
1. ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
2. เพิ่มเติมลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3. แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
4. แก้ไขอัตราโทษ โดยไม่บัญญัติอัตราโทษขั้นต่ำ ลดอัตราโทษขั้นสูง เพิ่มโทษปรับ โดยเปรียบเทียบกับอัตราโทษที่ใช้ในกรณีของบุคคลทั่วไป ให้การกระทำผิดต่อพระมหากษัตริย์สูงกว่าบุคคลทั่วไป 1 ปี และแยกแยะทาของการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นออกจากกัน
5. บัญญัติเหตุยกเว้นความผิดในกรณีติชมหรือแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
6. บัญญัติเหตุยกเว้นโทษในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่หากการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนห้ามไม่ให้พิสูจน์
7. ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษ ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษ
เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าคณะนิติราษฎร์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าคณะที่รณรงค์ล่ารายชื่อและคนที่ร่วมลงชื่อจะรู้ทั้งหมดหรือไม่ ?
คณะนิติราษฎร์กำลังสานต่อการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ให้สำเร็จ !
คณะนิติราษฎร์กำลังจะเสนอให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับไปสู่สถานะหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2475
พูดง่าย ๆ ว่าคณะนิติราษฎร์ต้องการใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 มีอายุบังคับใช้อยู่เพียง 5 เดือนเศษมาเป็นหลักในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย
ประเด็นนี้ผมเคยบอกท่านผู้อ่านมาแล้วเมื่อเห็นแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์เนื่องในโอกาสครบ 5 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่าก่อนหน้านี้บรรดาคนที่คัดค้านการรัฐประหาร รวมทั้งนปช. และพรรคเพื่อไทย เสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง หรือไม่ก็ให้เอามาใช้แทนเลย แต่คณะนิติราษฎร์ไปไกลกว่า โดยให้ค่ารัฐธรรมนูญ 2540 ไว้จำกัดจำเขี่ยมาก เพราะให้ย้อนไปดึงเอารัฐธรรมนูญของคณะราษฎรมาเป็นต้นแบบกันเลยทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ตามมาด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นี่เป็นหลักการใหม่ที่ทั้งนปช.และพรรคเพื่อไทยยังไม่เคยพูดชัดเจนมาก่อน ย้อนไปดูความในแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ประเด็นที่ 4 ข้อ 2 กันทุกตัวอักษรนะ
“...เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่จะนำมาใช้เป็นต้นแบบในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สมควรเป็นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และอาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในส่วนของการประกันสิทธิและเสรีภาพตลอดจนโครงสร้างสถาบันการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่าที่สอดคล้องกับพัฒนาการในยุคร่วมสมัยมาเป็นแนวทางในการยกร่าง”
รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกลดคุณค่าไปแค่ “อาจนำ” มาร่วมพิจารณาเฉพาะส่วนโครงสร้างสถาบันทางการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญาและแนวทางหลัก
รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 คืออะไร ?
รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้น 3 วันหลังคณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากในหลวงรัชกาลที่ 7 โดยคณะราษฎรเป็นผู้จัดทำฝ่ายเดียวแล้วนำมาถวายพระองค์ท่าน แม้พระองค์อาจไม่ทรงเห็นด้วยในเนื้อหาบางประการ แต่ด้วยพระราชปณิธานสูงสุดที่ไม่ต้องการให้แผ่นดินนองเลือดจึงทรงยินยอม แต่ก็ลงพระอักษรกำกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ว่า “ชั่วคราว” อันเป็นผลให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พระองค์ท่านมีส่วนร่วมพระราชทานความเห็นด้วยออกมาประกาศใช้ในอีก 5 เดือนเศษต่อมาในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งมีเนื้อหาบางประการแตกต่างออกไป
ในรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีคำว่า “พระมหากษัตริย์” เหมือนรัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อ ๆ มา โดยใช้คำว่า “กษัตริย์” เฉย ๆ
หลักการสำคัญอันเป็นเสมือนการแสดงเจตนารมณ์ปฏิบัติประชาธิปไตย-เปลี่ยนระบอบบรรจุอยู่ในมาตรา 1 ด้วยข้อความที่สั้น กระชับ เมื่อพูดถึงอำนาจสูงสุดของประเทศก็มีแต่คำว่า “ราษฎร” เท่านั้น ไม่มีข้อความต่อมาที่ระบุถึง “พระมหากษัตริย์” ไว้ในมาตราเดียวกันเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มา
“อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
ไม่ใช่แต่เพียงภาษาเท่านั้นแต่ฐานภาพของ “กษัตริย์” ตามรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่เหมือน “พระมหากษัตริย์” ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาทุกฉบับต่อจากนั้น
อ่านหมวด 1 ข้อความทั่วไป และหมวด 2 กษัตริย์ ดูก็พอจะรับรู้อารมณ์และเจตนารมณ์ได้
ที่สำคัญและเชื่อมโยงไปถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่คณะนิติราษฎร์เสนอให้ยกเลิกด้วยก็คือ รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อมาบัญญัติคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ไว้เด็ดขาด ดังเช่นความในมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็เหมือนฉบับ 2540 และฉบับอื่น ๆ ก่อนหน้า...
“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ / ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
หลักการนี้มีที่มาที่ไปที่แสดงลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษของประเทศไทย และเพราะมีหลักการนี้บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเหตุให้มีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ถ้าหลักการนี้ไม่คงอยู่ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ไม่มีฐานรองรับ
แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ก็ยังคุ้มครองฐานภาพของ “กษัตริย์” แต่ไม่ได้คุ้มครองไว้เด็ดขาดเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาทุกฉบับจนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ว่า...
“กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย”
และไม่ใช่แค่ยกเลิกมาตรา 112 หรือแก้ไขแบบปรับเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมดเท่านั้น
ขณะนี้คนบางกลุ่มยังต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กลับไปสู่สถานะก่อนปี 2500 และก่อนปี 2490
.............................................
(ท่านผู้อ่านช่วยเติมบรรทัดสุดท้ายให้ข้อเขียนชิ้นนี้ด้วยหลังรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรกันอยู่แล้ว !!)