แก๊งนิติราษฎร์ยังกั๊กข้อเสนอ คอ.นธ.ให้ร่วมเป็น1 ใน 34 กก.แก้รธน. ด้าน “ปานปรีย์” ตีมึนยังไม่รู้ข่าว แต่เชื่อมีชื่อแจมด้วย เหตุเคยเป็นศิษย์ “อุกฤษ” สมัยเรียนกฎหมาย ขณะที่โฆษก กมธ.ปรองดอง ค้าน คอ.นธ.ลักไก่ตั้ง กก.ร่าง รธน. แนะควรผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ด้าน “นคร” วอนอย่าวางเงื่อนไขขัดแย้งใหม่ ขณะที่ตัวแทน “เพื่อไทย” รับประสานพรรคเบรกแตะ ม.112 แย้มเตรียมชงที่ประชุมพรรคทบทวนหมู่บ้านเสื้อแดง
วันนี้ (6 ม.ค.) นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เสนอให้เป็น 1 ใน 34 กรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า ตนยังไม่ทราบเรื่อง เพียงแต่ได้ยินจากสื่อเท่านั้น เชื่อว่าเป็นเพียงการวางตุ๊กตา เป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ซึ่งตนยังไม่ควรพูดเรื่องนี้
ขณะที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในกรณีเดียวกันว่า ต้องขอโทษที่ไม่สามารถให้ความเห็นได้ในขณะนี้ เพราะยังไม่ทราบข่าวดังกล่าว และไม่รู้ว่ามีชื่อของตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม การมีชื่อของตนอยู่นั้น อาจเป็นเพราะนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธาน คอ.นธ. เห็นตนเป็นลูกศิษย์ก็ได้ เพราะสมัยที่เรียนนิติศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น นายอุกฤษก็เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์อยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการหารือในเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า เราไม่ได้หารือถึงเรื่องนี้ บางเรื่องที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวเราจะไม่หารือกัน จะพูดเฉพาะภาพรวมเท่านั้น เมื่อถามว่าจะมีการเรียกคู่ขัดแย้งมาหารือในแนวทางปรองดองด้วยหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า เราจะพยายามที่จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน แต่คงไม่เรียกมาคุยพร้อมกัน เพื่อต้องการถามว่าในความขัดแย้งของแต่ละกลุ่มมีปัญหาอะไร ซึ่งเราจะเชิญในทุกภาคส่วนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยจะเริ่มที่รากเง้าของปัญหา อย่างไรก็ตาม เราคงจะไม่ก้าวล่วงในกระบวนการยุติธรรม เพราะเราต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรมด้วย
ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษก กมธ.ปรองดอง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมมีแนวคิดตรงกันว่า สังคมในขณะนี้ระแวงในการกระทำของใครเพื่อกลุ่มใด ดังนั้นเรื่องที่คลุมเครืออยู่นั้น หัวหน้าพรรคทุกพรรคก็ต้องการให้มีการแสดงความชัดเจน เช่น แนวคิดการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกพรรคการเมืองได้ฝากไปถึงพรรครัฐบาลว่า เรื่องนี้ควรแสดงให้ชัดเจนว่า ต้องไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 แต่ก็ฝากให้รัฐบาลไปดูเรื่องกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งใคร ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญที่ประชุมได้เสนอไปยังฝั่งรัฐบาลคือพรรคเพื่อว่า ต้องแสดงจุดยืนชัดเจนในบางประเด็นที่สังคมมีความสงสัย ทั้งในมาตรา 237 และมารตรา 309 รวมถึงต้องไปทำความเข้าใจกับกลุ่มมวลชนด้วย เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงก็คือสภาผู้แทนราษฎร ต่อให้มีแนวคิดอย่างไรในเรื่องมารตรา 112 ถ้าเรามีความเห็นตรงกันว่าไม่แก้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะทุกพรรคการเมืองมีเจตนาอยากให้บ้านเมืองเดินหน้า
เมื่อถามว่าที่ประชุมได้หารือถึงกรณีที่นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมกายกรร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 30-35 หรือไม่ นายศุภชัยกล่าวว่า เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยต้องมีความชัดเจนว่าจะเลือกแนวทางใดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมจึงมีการเสนอความคิดว่าการตั้ง ส.ส.ร. เช่น การเลือก ส.ส.ร.มาจาก 77 จังหวัด เพื่อให้เกิดความสบายใจ ไม่ใช่ตั้งแบบพวกมากลากไป
ขณะที่ นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษก กมธ.ปรองดองกล่าวถึงกระแสข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าไว้ว่าต้องเริ่มแก้ไขเดือน ก.พ.นี้ว่าที่ประชุมได้หารืออย่างไรบ้าง กล่าวว่า ที่ประชุมแสดงความกังวลว่าไม่ควรสร้างเงื่อนไขขึ้นใหม่เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น การขยายหมู่บ้านเสื้อแดง ก็ควรที่จะให้รับบาลแสดงความชัดเจน เพื่อไม่ให้เงื่อนไขทางสังคมและเพื่อแสดงความปรองดองให้กับประเทศ
ขณะที่ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ เลขานุการ กมธ.ปรองดอง ซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่ามั่นใจได้อย่างไรว่าการหารือในครั้งนี้จะได้ข้อยุติในที่จะไม่แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะกลุ่มที่เคลื่อนไหวก็คือกลุ่มที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยว่า ในฐานะที่เป็นคนของพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่าหัวหน้าพรรคได้ยืนยันในที่ประชุมว่า พรรคจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งข้อสรุปทุกพรรคการเมืองให้ความสำคัญและร่วมมือกันเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับ กมธ.เพื่อนำความปรองดองมาสู่ประเทศชาติให้สำเร็จ ส่วนเรื่องหมู่บ้านเสื้อแดง ทางพรรคเพื่อไทยคงต้องไปหารือกันเพื่อทำให้บรรยากาศไปสู่ความปรองดอง