ปีเก่าผ่านพ้นไป ปีใหม่ผ่านเข้ามา แต่ประเด็นการเมืองบางเรื่องทอดยาวต่อเนื่องข้ามปีมาด้วยความร้อนระอุ โดยเฉพาะเรื่องการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ”
ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยืนกรานแก้แหลกไม่สนอะไรทั้งสิ้น อ้างว่าเพราะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้ที่หาเสียงไว้กับประชาชน!
ดังนั้นจับยามสามตาแล้ว ปี 2555 ได้ออกสตาร์ทนับหนึ่งแก้ไขแน่ๆ แต่จะเสร็จเมื่อไหร่ดูปฏิทินคร่าวๆ แล้วน่าจะกลางปีหรือปลายปี 2556
อย่างไรก็ดี เกิดประเด็นอีกอันหนึ่งตีคู่ขนาบร้อนแรงไม่แพ้กัน นั่นก็คือการเสนอ “แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112” ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะเครือข่ายคนเสื้อแดง ที่มองว่าตัวเองได้รับผลกระทบในด้านลบกับกฎหมายมาตรานี้ ถูกคนอีกฝ่ายหนึ่งใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานตลอดมาโดยไม่เคยกลับมาพิจารณาการกระทำของตน พร้อมนำตัวอย่างคดีของ “อากง” เอสเอ็มเอส และกรณีของ “ดา ตอร์ปิโด” มาแจกแจงเน้นย้ำเรื่องสองมาตรฐาน
แต่หัวหอกในการเดินเกมเรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ “คณะนิติราษฎร์” เพราะลำพังเสื้อแดงไม่มีพลังมากพอ ทั้งยังไม่ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากสังคม มีแต่เสียงก่นด่าถากถาง คณะนิติราษฎร์หรือนิติเรดที่ประกอบไปด้วยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงดูมีความน่าเชื่อถือ หนักแน่นกว่า โดยมีการโยนข้อเสนอออกมาเป็นระยะ
แต่ยิ่งนานวันยิ่งโดนโจมตีว่าเหิมเกริม บังอาจ รับจ็อบจากคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย!!
ล่าสุดออกมายื่นข้อเสนอแบบ “สุดโต่ง” ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีปัญหาทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้ และอุดมการณ์ ทั้งยังอาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องแก้ไข โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความสมดุลระหว่างความร้ายแรงของการกระทำอันเป็นความผิดกับโทษที่ผู้กระทำความผิดนั้นควรได้รับ ไม่เป็นไปตามหลักความพอสมควรแก่เหตุซึ่งได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ!!
วันที่ 15 มกราคม กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามกลุ่มนิติราษฎร์ จะจัดงานรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหายอาญา มาตรา 112 โดยบอกว่า ทำข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเผยแพร่ต่อสาธารณะไปแล้ว แต่ยังไม่มีการถกเถียงมากนัก ซ้ำยังคงมีคนที่เป็นเหยื่อเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นจะล่ารายชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม!!
“คณะนิติราษฎร์” เน้นย้ำว่า อำนาจของพระมหากษัตริย์จำเป็นต้องแยกออกจากฝ่ายการเมืองโดยเด็ดขาด ไทยเราจะต้องทำให้เหมือนแบบต่างประเทศ?
สุดโต่ง-สุดขั้ว เหิมเกริม โยนข้อเสนอเหมือนทุ่มหินใส่หน้า แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้ใครละเมิด เพราะพระมหากษัตริย์ไม่สามารถฟ้องร้องบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ โดยมีแนวร่วมสีแดงที่มีพฤติกรรม “ล้มเจ้า” และอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งโดยตรงจากมาตรานี้คอยสนับสนุน
คนเสื้อแดงสันดานเอาแต่ได้ โดยไม่เคยย้อนมองเหลียวหลังไปทบทวนสิ่งที่ทำไว้มันถูกควรหรือไม่ หลับหูหลับตาท่องอย่างเดียว “ชั่วโมงนี้กูถูกหมด อำนาจอยู่กับฝ่ายกูแล้ว”
เรื่องนี้ถือเป็นระเบิดเวลาที่น่ากลัว สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเข่นฆ่า นองเลือดอีกครั้ง
เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางความคิดและความเชื่อทางการเมืองแบบแบ่งขั้วยังคุกรุ่นมาก ฝ่ายเสนอถึงขั้นมีการรณรงค์ให้ “ยกเลิก-ไม่แก้ไข” คือ วิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ กับอีกฝ่ายรณรงค์ “ไม่ยกเลิก-ไม่แก้ไข” มาตรานี้
คดีอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี ซึ่งศาลได้ตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดตามมาตรา 112 จากกรณีส่งเอสเอ็มเอสใช้ข้อความเข้าข่ายจาบจ้วงและหมิ่นสถาบัน ได้กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกลายเป็น “เครื่องมือ” และ “เชื้อไฟ” ของกลุ่มนักวิชาการแดงและนักเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างนิติราษฎร์ นำไปใช้รณรงค์ให้ “ยกเลิก” มาตรา 112 แสดงออกทุกเวที และบนโลกออนไลน์
พยายามขยายประเด็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป ไกลถึงขั้นการคงอยู่ของมาตรา 112 เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นขั้นพื้นฐานของประชาชน หนักไปกว่านั้นยังมีการส่งข้อความไปบอกกล่าวจนทำให้สำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Human Rights) ออกแถลงการณ์ให้ “แก้ไข” กฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยเหตุผลว่าส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน
แม้เรื่องนี้จะได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลจะไม่แตะต้องมาตรานี้เด็ดขาด แต่ลึกๆ แล้วใครจะรู้ ว่านี่อาจเป็นการแบ่งงานกันทำหรือแบ่งเกมกันเดินก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าหากมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จริง คนที่ได้ประโยชน์ล้วนแล้วแต่เป็นคนในสายของพรรคเพื่อไทยและมวลชนคนเสื้อแดงที่คอยให้การสนับสนุนอยู่
แต่สาเหตุที่พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลไม่ยอมเดินเกมเอง นั่นเป็นเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่านี่คือ “เผือกร้อน” หากรับมาทำเองย่อมเป็นการบั่นทอนอายุรัฐบาลให้สั้นลงไป พร้อมตอกย้ำภาพความไม่จงรักภักดีเพิ่มขึ้น สู้ให้ลิ่วล้อที่ชัดเจนว่าเป็นพวกเดียวกันออกหน้าทำไปดีกว่า สุดท้ายหากสำเร็จก็แฮปปี้ แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่มีผลกระทบอะไร
แต่การแก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเช่นคนเสื้อเหลือง กลุ่มสยามสามัคคี นักการเมืองซีกตรงข้ามแล้ว ยังมีกองทัพโดยการนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ติดยี่ห้อความจงรักภักดี ได้เคยประกาศไว้หลายครั้ง ว่าไม่ยอมใหัใครแตะต้องสถาบัน ยอมแลกได้ด้วยชีวิตเพื่อรักษาให้คงอยู่เพราะทหารอยู่คู่สถาบันมาโดยตลอด
ยิ่งคนเสนอถูกจับไต๋ได้ว่าแนบชิดอิงแอบกับเครือข่ายพลพรรครักทักษิณแล้ว แรงต่อต้านยิ่งเพิ่มร้อยเท่าทวีคูณ แค่กระแอมออกมาก็โดนเตะตัดขาจนหัวหกก้นขวิด บางคนรู้ว่าเป็นการเดิมเกมของกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ก็ออกมาค้านทันทีแบบไม่ต้องคิดมาก
ดูไปแล้วการแก้ไขมาตรา 112 ดังกล่าว อาจเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ ร้ายแรงถึงขั้นก่อการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง