ASTVผู้จัดการรายวัน-เฟซบุ๊กสถานทูตอเมริกันประจำประเทศไทย วอนอย่าใช้คำหยาบคายรุนแรงข่มขู่ หลังโดนคนไทยถล่มหนัก กรณีแส่คดีหมิ่นเบื้องสูง ตาม ม.112 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 15 ปี “ดา ตอร์ปิโด” ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูงบนเวที นปช. เจ้าตัวยันไม่อุทธรณ์ ไม่ขออภัยโทษ ด้าน ปชป.จี้ "เหลิม"เอาผิด"สุนัย" หมิ่นสถาบันฯ เผยแพร่ผ่านยูทูป
วานนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. เฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ขึ้นข้อความเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใจความว่า “เรียนเพื่อนๆ ชาวเฟซบุ๊ก เรายินดีรับมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายบนหน้าเฟซบุ๊กต่างๆ ของเรา เพียงแต่อยากขอให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการให้บริการเฟซบุ๊กของเรา และโปรดงดเว้นการใช้ภาษาที่หยาบคาย รุนแรง หรือข่มขู่”
**อัดสถานฑูตมะกันผ่านเฟซบุ๊ก
ก่อนหน้านี้ ในหน้าเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาดังกล่าว มีสมาชิกเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วย ต่อกรณีที่ นายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ว่า มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
*** เตือนอเมริกาแส่ไม่เข้าเรื่อง
ทั้งนี้ สมาชิกเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ที่เข้ามาโพสต์ได้แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในเชิงชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองของไทยและสหรัฐฯ และแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา อาทิ “อเมริกา คุณคิดว่าคุณเป็นผู้จัดการของโลกนี้หรืออย่างไร คุณเที่ยวไปแทรกแซงกิจการของประเทศโน้นประเทศนี้ มันกงการอะไรของคุณ ประเทศคุณไม่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ และดีงามเหมือนประเทศไทย เพราะประเทศคุณไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ เรามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของเราเอง เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศคุณเสียอีก ชื่อประเทศอเมริกา แต่ใช้ภาษาของประเทศอังกฤษ คุณแทรกแซงเรื่องอื่นเราทนได้ แต่อย่ามาแทรกแซงเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของเรา”
บางข้อความระบุว่า “คราวที่ นางยิ่งลักษณ์ มีหวังได้เป็นนายกฯ ยังไม่ทันได้แต่งตั้ง นางคริสตี้ก็รีบออกมาเชียร์สุดๆ แต่ตอนที่นางยิ่งลักษณ์บริหารงานน้ำท่วมแบบเลวทราม เดือดร้อนไปทั่ว นางคริสตี้ เงียบ พอประเทศเกาหลีเขียนแปลนสร้างตึกแฝด คล้ายตึกเวิลด์เทรดถูกชนก็โวยวาย หาว่าทำร้ายจิตใจ ทีเรื่องของตนเองรับไม่ได้ แล้วมา___อะไรกับความรู้สึก และกฎหมายของประเทศอื่น ลองนับดูว่า จริงๆ แล้วใครบ้างในโลกนี้ที่ไม่เกลียด U.S.A.ที่เขาเหล่านั้นยังคงคบค้าสมาคม เพราะไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เหตุใดจึงมักเกิดเภทภัยที่ถูกเรียกว่า “ก่อการร้าย” ต่อสถานทูต และคนอเมริกันทั่วโลก ทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็คือ สิ่งเดียวกับที่ประเทศนี้ไปทำไว้ในหลายๆ ที่บนโลก แล้วมักอ้างว่านั่นคือ การปราบผู้ก่อการร้าย และขอสาปแช่งให้เจออีกเรื่อยๆ”
*** ชม“Canไทเมือง”แห่โพสต์ตามเพียบ
จากการตรวจสอบต้นตอของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น พบว่า ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น บล็อกเกอร์ที่ชื่อว่า “Canไทเมือง” ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ก่อนเดินไปประท้วงสถานทูตอเมริกาพรุ่งนี้ วันนี้เชิญชวนชาวเน็ตไปบอกท่านทูตใน Wall ของ US Embassy Bangkok” เมื่อเวลา 17.00 น.ของวันที่ 14 ธ.ค.โดยระบุว่า “ชวนกันไปแสดงความเห็นใน wall ของท่านทูตอเมริกา ผมไปมาแล้ว คุณไปเขียนหรือยัง” ก่อนจะอ้างถึงข้อความที่ตนนำไปโพสต์ “อย่าเสนอความเห็นทางกฎหมายที่เสมือนว่าไทยเป็นบริวารของอเมริกา เราเป็นรัฐอิสระ มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับอเมริกา เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าประเทศของคุณเพราะฉะนั้นอย่าเอาความรู้สึกของประเทศสาธารณรัฐ มาตัดสินประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรารักประชาธิปไตยพอๆ กับรักประมุขของเรา และที่สำคัญเรามีกระบวนการทางยุติธรรมที่เป็นสากล”
หลังจากที่ผู้ใช้นามแฝงคนดังกล่าวโพสต์ข้อความออกไป ปรากฏว่า หลังจากนั้น มีผู้เข้าชมบล็อกดังกล่าว ตามไปโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจที่เฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นจำนวนมาก กระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนในเฟซบุ๊กดังกล่าว
*** พิจารณาคดี “ดา” จาบจ้วง
วานนี้(15 ธ.ค.)เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3959/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.51 เวลากลางคืน จำเลยขึ้นปราศรัยบนเวทีเสียงประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียง ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนมาก ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ล่วงเกิน เปรียบเทียบและเปรียบเปรย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อจะล้มล้างรัฐบาล โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค.52 ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งกระทำผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม จำคุก 3 กระทงๆ ละ 6 ปีรวมจำคุก 18 ปี ซึ่งระหว่างพิจารณาคดีจำเลย ไม่ได้รับการประกันตัว แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า บทบัญญัติตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ที่ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณาคดีลับขัดหรือแย้งสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 หรือไม่ ซึ่งจำเลยเคยยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
โดยศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ.54 ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจดูแล้ว พบว่าไม่เคยมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าวมาก่อน จึงชอบที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ และที่ศาลชั้นต้นไม่รอการพิพากษาคดีไว้ก่อนเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์จึงให้ยกคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นจำคุก 18 ปี และให้ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 หรือไม่ และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้วแต่กรณี
ต่อมาวันที่ 17 ต.ค.54 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 (2) จากนั้นศาลอาญา จึงได้นัดพิพากษาคดีใหม่ในวันนี้
*** จำคุก “ดา ตอร์ปิโด” 15 ปี
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 3 นาย เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.51 เวลา 21.00 น. และ 24.00 น. จำเลยขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามหลวง โดยพยานทั้งสามเป็นสายสืบฟังการปราศรัย และพบว่าจำเลยกล่าวข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงบันทึกเสียงลงในเครื่องบันทึกเสียงเอ็มพี 3 และบันทึกลงในแผ่นซีดี แล้วนำมาถอดเทป และจำเลยยังขึ้นปราศรัยกล่าวดูหมิ่นอีกในวันที่ 7 และ 13 มิ.ย.51 ซึ่งได้บันทึกเสียงไว้แล้วแจ้งข้อหาดำเนินคดีจำเลย โดยพยานโจทก์เบิกความด้วยว่า แผ่นซีดีบันทึกเสียงที่เป็นหลักฐาน พบว่าเป็นเสียงคนคนเดียวกัน จึงฟังได้ว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้ขึ้นเวทีปราศรัย
ขณะที่ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวบนเวที พบว่า แม้จะไม่ระบุตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึงอย่างชัดแจ้ง แต่ถ้อยคำที่กล่าวถึง เช่น สัญลักษณ์สีเหลือง สีฟ้า ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้เห็นว่าจำเลยกระทำการจาบจ้วงล่วงเกิน โดยทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ รวมทั้งการกล่าวถึงการรัฐประหาร โดยกล่าวถ้อยคำถึงมือที่มองไม่เห็นในสี่เสาเทเศวร์ ซึ่งประชาชนรับรู้อยู่แล้วว่าสี่เสาเทเวศร์คือสถานที่ที่เป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยการแต่งตั้งองคมนตรีนั้น ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้ง ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนับสนุน พล.อ.เปรม ยึดอำนาจจากประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชั้นพิจารณาจำเลยจะเบิกความว่า จดจำถ้อยคำที่กล่าวปราศรัยไม่ได้ว่ามีประเด็นใดบ้าง และจดจำวัน-เวลาไม่ได้ แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งแม้ว่าคำพูดของจำเลยไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อ แต่จำเลยไม่อาจพ้นผิด พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พิพากษาจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมรวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี
*** “ดา”ยังซ่าไม่ขออภัยโทษ
ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส.ดารณี กล่าวว่า ตนจะปล่อยให้คดีจบเด็ดขาด และจะไม่อุทธรณ์ เพราะขณะนี้ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ยังไม่คิดเรื่องที่จะขออภัยโทษด้วย
ด้าน นายประเวศ ประภานุกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยเรื่องคดีลูกความประสงค์ที่จะไม่อุทธรณ์คดีต่อ ยอมถูกจำคุก ซึ่งลูกความถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงมา 3 ปีเศษแล้ว ส่วนจะยื่นอภัยโทษหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง ซึ่งแล้วแต่ความประสงค์ของลูกความ
**** ปชป.จี้”เหลิม”จัดการ”สุนัย”
เมื่อเวลา 14.50 น.วานนี้ (15 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรมว.ไอซีที เงา พร้อมด้วยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ตรวจสอบพฤติกรรมนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กรณีที่มีการเผยแพร่วิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ยูทูป ความยาวประมาณ 45 นาที ซึ่งเป็นการบรรยายของนายสุนัย ระหว่างการพบกับกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างประเทศ มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในหลายช่วง ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบทบาทพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อการเมืองการปกครองไทย
พร้อมกันนี้ได้มอบคลิปวิดีโอดังกล่าวให้ ร.ต.อ.เฉลิม โดยหวัง ร.ต.อ.เฉลิมจะเดินหน้าตรวจสอบ เพราะหากไม่ดำเนินการใดๆ ก็เท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังตอกย้ำว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย มีทัศนคติต่อสถาบันฯ และการเมืองการปกครองของประเทศไทยไม่แตกต่างจากวิธีคิดของนายสุนัย
** “เหลิม”ทำเก่งใครทำผิดไม่มีเว้น
ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ใครทำผิดต้องได้รับโทษ ขณะที่รายละเอียดตนจะนำไปตรวจสอบ และตั้งคณะทำงานขึ้นมา โดยจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ที่มีหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดูแล ส่วนตนในฐานะประธานดูแลเรื่องเว็บไซต์ ที่กระทบต่อความมั่นคง และสถาบันฯ จะแยกอีกส่วนหนึ่ง จะทำทั้งสองส่วนเท่ากัน และจะรายงานความคืบหน้าให้พรรคประชาธิปัตย์ทราบเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้มองว่าเป็นพรรคการเมืองคนละพรรค แต่อะไรที่เป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง จะต้องร่วมกันปกป้องสถาบันฯ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา ถือว่ามีสิทธิ์กันทุกพรรค และทุกคน ซึ่นตนจะดำเนินเร่งรัดโดยเร่งด่วน เพื่อให้ความจริงปรากฏในเวลาอันใกล้นี้
ร.ต.อ.เฉลิม ยังถึงกรณี นายศิริโชค คัดค้านเรื่องจะใช้เครื่องมือตัดสัญญาณ(แอลไอ) ในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันฯ ว่า อันนั้นต้องไปพูดกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร(ไอซีที) ตนมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แค่โทรศัพท์เข้า กับออก ไม่รู้จริงๆ เฟซบุ๊กก็ไม่มี คนไปด่าตน อย่าไปด่าเลย ด่าไปตนก็ไม่ได้อ่าน ด่าทำไมก็ไม่รู้ ชีวิตตนอยู่กับความเป็นจริง ตนไม่ใช่นักการเมืองเพ้อเจ้อ
"แหม เมื่อก่อนนี้มีมาด ให้โทรศัพท์เชียร์ทางวิทยุ ก็ไอ้ 2 นั้นโทร 30 ครั้ง แล้วก็มายินดีปรีดา สุดท้ายก็พังหมด ผมไม่ใช่นักการเมืองเพ้อเจ้อ ผมอยู่บนโลกความเป็นจริง แล้วเรื่องที่ถามผมปราศรัยไว้หมด ทั้งเรื่องพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ผมปราศรัยหมดไม่ได้ปิดบัง" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
**โวปิดเว็บหมิ่นฯแล้ว60,000 ยูอาร์แอล
ด้านน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการปราบปรามเว็บไซต์แพร่ข้อความไม่เหมาะตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตั้งคณะกรรมการในการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือ เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ซึ่งในช่วง 3 เดือนนี้ ปิดกั้นข้อความไม่เหมาะสมแล้วกว่า 60,000 ยูอาร์แอล จากที่รัฐบาลชุดที่แล้ว ดำเนินการตลอด 3 ปี ได้แค่ 73,000 ยูอาร์แอล แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เอาจริงเอาจัง และสามารถปิดกั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นในเมืองไทย หรือต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนเห็นข้อความเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในเว็บไซต์ หรือ ในสังคมออนไลน์ อย่าไปโพสต์ ข้อความตอบ เพราะจะทำให้ข้อมูลแพร่กระจายมากขึ้น แต่ให้แจ้งที่สายด่วน 1212 ซึ่งทางกระทรวงไอซีที ก็จะเร่งแก้กฎหมาย เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วานนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. เฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ขึ้นข้อความเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใจความว่า “เรียนเพื่อนๆ ชาวเฟซบุ๊ก เรายินดีรับมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายบนหน้าเฟซบุ๊กต่างๆ ของเรา เพียงแต่อยากขอให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการให้บริการเฟซบุ๊กของเรา และโปรดงดเว้นการใช้ภาษาที่หยาบคาย รุนแรง หรือข่มขู่”
**อัดสถานฑูตมะกันผ่านเฟซบุ๊ก
ก่อนหน้านี้ ในหน้าเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาดังกล่าว มีสมาชิกเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วย ต่อกรณีที่ นายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ว่า มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
*** เตือนอเมริกาแส่ไม่เข้าเรื่อง
ทั้งนี้ สมาชิกเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ที่เข้ามาโพสต์ได้แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในเชิงชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองของไทยและสหรัฐฯ และแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา อาทิ “อเมริกา คุณคิดว่าคุณเป็นผู้จัดการของโลกนี้หรืออย่างไร คุณเที่ยวไปแทรกแซงกิจการของประเทศโน้นประเทศนี้ มันกงการอะไรของคุณ ประเทศคุณไม่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ และดีงามเหมือนประเทศไทย เพราะประเทศคุณไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ เรามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของเราเอง เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศคุณเสียอีก ชื่อประเทศอเมริกา แต่ใช้ภาษาของประเทศอังกฤษ คุณแทรกแซงเรื่องอื่นเราทนได้ แต่อย่ามาแทรกแซงเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของเรา”
บางข้อความระบุว่า “คราวที่ นางยิ่งลักษณ์ มีหวังได้เป็นนายกฯ ยังไม่ทันได้แต่งตั้ง นางคริสตี้ก็รีบออกมาเชียร์สุดๆ แต่ตอนที่นางยิ่งลักษณ์บริหารงานน้ำท่วมแบบเลวทราม เดือดร้อนไปทั่ว นางคริสตี้ เงียบ พอประเทศเกาหลีเขียนแปลนสร้างตึกแฝด คล้ายตึกเวิลด์เทรดถูกชนก็โวยวาย หาว่าทำร้ายจิตใจ ทีเรื่องของตนเองรับไม่ได้ แล้วมา___อะไรกับความรู้สึก และกฎหมายของประเทศอื่น ลองนับดูว่า จริงๆ แล้วใครบ้างในโลกนี้ที่ไม่เกลียด U.S.A.ที่เขาเหล่านั้นยังคงคบค้าสมาคม เพราะไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เหตุใดจึงมักเกิดเภทภัยที่ถูกเรียกว่า “ก่อการร้าย” ต่อสถานทูต และคนอเมริกันทั่วโลก ทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็คือ สิ่งเดียวกับที่ประเทศนี้ไปทำไว้ในหลายๆ ที่บนโลก แล้วมักอ้างว่านั่นคือ การปราบผู้ก่อการร้าย และขอสาปแช่งให้เจออีกเรื่อยๆ”
*** ชม“Canไทเมือง”แห่โพสต์ตามเพียบ
จากการตรวจสอบต้นตอของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น พบว่า ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น บล็อกเกอร์ที่ชื่อว่า “Canไทเมือง” ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ก่อนเดินไปประท้วงสถานทูตอเมริกาพรุ่งนี้ วันนี้เชิญชวนชาวเน็ตไปบอกท่านทูตใน Wall ของ US Embassy Bangkok” เมื่อเวลา 17.00 น.ของวันที่ 14 ธ.ค.โดยระบุว่า “ชวนกันไปแสดงความเห็นใน wall ของท่านทูตอเมริกา ผมไปมาแล้ว คุณไปเขียนหรือยัง” ก่อนจะอ้างถึงข้อความที่ตนนำไปโพสต์ “อย่าเสนอความเห็นทางกฎหมายที่เสมือนว่าไทยเป็นบริวารของอเมริกา เราเป็นรัฐอิสระ มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับอเมริกา เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าประเทศของคุณเพราะฉะนั้นอย่าเอาความรู้สึกของประเทศสาธารณรัฐ มาตัดสินประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรารักประชาธิปไตยพอๆ กับรักประมุขของเรา และที่สำคัญเรามีกระบวนการทางยุติธรรมที่เป็นสากล”
หลังจากที่ผู้ใช้นามแฝงคนดังกล่าวโพสต์ข้อความออกไป ปรากฏว่า หลังจากนั้น มีผู้เข้าชมบล็อกดังกล่าว ตามไปโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจที่เฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นจำนวนมาก กระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนในเฟซบุ๊กดังกล่าว
*** พิจารณาคดี “ดา” จาบจ้วง
วานนี้(15 ธ.ค.)เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3959/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.51 เวลากลางคืน จำเลยขึ้นปราศรัยบนเวทีเสียงประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียง ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนมาก ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ล่วงเกิน เปรียบเทียบและเปรียบเปรย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อจะล้มล้างรัฐบาล โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค.52 ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งกระทำผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม จำคุก 3 กระทงๆ ละ 6 ปีรวมจำคุก 18 ปี ซึ่งระหว่างพิจารณาคดีจำเลย ไม่ได้รับการประกันตัว แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า บทบัญญัติตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ที่ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณาคดีลับขัดหรือแย้งสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 หรือไม่ ซึ่งจำเลยเคยยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
โดยศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ.54 ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจดูแล้ว พบว่าไม่เคยมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าวมาก่อน จึงชอบที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ และที่ศาลชั้นต้นไม่รอการพิพากษาคดีไว้ก่อนเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์จึงให้ยกคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นจำคุก 18 ปี และให้ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 หรือไม่ และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้วแต่กรณี
ต่อมาวันที่ 17 ต.ค.54 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 (2) จากนั้นศาลอาญา จึงได้นัดพิพากษาคดีใหม่ในวันนี้
*** จำคุก “ดา ตอร์ปิโด” 15 ปี
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 3 นาย เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.51 เวลา 21.00 น. และ 24.00 น. จำเลยขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามหลวง โดยพยานทั้งสามเป็นสายสืบฟังการปราศรัย และพบว่าจำเลยกล่าวข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงบันทึกเสียงลงในเครื่องบันทึกเสียงเอ็มพี 3 และบันทึกลงในแผ่นซีดี แล้วนำมาถอดเทป และจำเลยยังขึ้นปราศรัยกล่าวดูหมิ่นอีกในวันที่ 7 และ 13 มิ.ย.51 ซึ่งได้บันทึกเสียงไว้แล้วแจ้งข้อหาดำเนินคดีจำเลย โดยพยานโจทก์เบิกความด้วยว่า แผ่นซีดีบันทึกเสียงที่เป็นหลักฐาน พบว่าเป็นเสียงคนคนเดียวกัน จึงฟังได้ว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้ขึ้นเวทีปราศรัย
ขณะที่ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวบนเวที พบว่า แม้จะไม่ระบุตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึงอย่างชัดแจ้ง แต่ถ้อยคำที่กล่าวถึง เช่น สัญลักษณ์สีเหลือง สีฟ้า ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้เห็นว่าจำเลยกระทำการจาบจ้วงล่วงเกิน โดยทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ รวมทั้งการกล่าวถึงการรัฐประหาร โดยกล่าวถ้อยคำถึงมือที่มองไม่เห็นในสี่เสาเทเศวร์ ซึ่งประชาชนรับรู้อยู่แล้วว่าสี่เสาเทเวศร์คือสถานที่ที่เป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยการแต่งตั้งองคมนตรีนั้น ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้ง ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนับสนุน พล.อ.เปรม ยึดอำนาจจากประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชั้นพิจารณาจำเลยจะเบิกความว่า จดจำถ้อยคำที่กล่าวปราศรัยไม่ได้ว่ามีประเด็นใดบ้าง และจดจำวัน-เวลาไม่ได้ แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งแม้ว่าคำพูดของจำเลยไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อ แต่จำเลยไม่อาจพ้นผิด พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกล่าวคำพูดจาบจ้วง ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พิพากษาจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมรวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี
*** “ดา”ยังซ่าไม่ขออภัยโทษ
ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส.ดารณี กล่าวว่า ตนจะปล่อยให้คดีจบเด็ดขาด และจะไม่อุทธรณ์ เพราะขณะนี้ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ยังไม่คิดเรื่องที่จะขออภัยโทษด้วย
ด้าน นายประเวศ ประภานุกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยเรื่องคดีลูกความประสงค์ที่จะไม่อุทธรณ์คดีต่อ ยอมถูกจำคุก ซึ่งลูกความถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงมา 3 ปีเศษแล้ว ส่วนจะยื่นอภัยโทษหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง ซึ่งแล้วแต่ความประสงค์ของลูกความ
**** ปชป.จี้”เหลิม”จัดการ”สุนัย”
เมื่อเวลา 14.50 น.วานนี้ (15 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรมว.ไอซีที เงา พร้อมด้วยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ตรวจสอบพฤติกรรมนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กรณีที่มีการเผยแพร่วิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ยูทูป ความยาวประมาณ 45 นาที ซึ่งเป็นการบรรยายของนายสุนัย ระหว่างการพบกับกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างประเทศ มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในหลายช่วง ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบทบาทพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อการเมืองการปกครองไทย
พร้อมกันนี้ได้มอบคลิปวิดีโอดังกล่าวให้ ร.ต.อ.เฉลิม โดยหวัง ร.ต.อ.เฉลิมจะเดินหน้าตรวจสอบ เพราะหากไม่ดำเนินการใดๆ ก็เท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังตอกย้ำว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย มีทัศนคติต่อสถาบันฯ และการเมืองการปกครองของประเทศไทยไม่แตกต่างจากวิธีคิดของนายสุนัย
** “เหลิม”ทำเก่งใครทำผิดไม่มีเว้น
ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ใครทำผิดต้องได้รับโทษ ขณะที่รายละเอียดตนจะนำไปตรวจสอบ และตั้งคณะทำงานขึ้นมา โดยจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ที่มีหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดูแล ส่วนตนในฐานะประธานดูแลเรื่องเว็บไซต์ ที่กระทบต่อความมั่นคง และสถาบันฯ จะแยกอีกส่วนหนึ่ง จะทำทั้งสองส่วนเท่ากัน และจะรายงานความคืบหน้าให้พรรคประชาธิปัตย์ทราบเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้มองว่าเป็นพรรคการเมืองคนละพรรค แต่อะไรที่เป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง จะต้องร่วมกันปกป้องสถาบันฯ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา ถือว่ามีสิทธิ์กันทุกพรรค และทุกคน ซึ่นตนจะดำเนินเร่งรัดโดยเร่งด่วน เพื่อให้ความจริงปรากฏในเวลาอันใกล้นี้
ร.ต.อ.เฉลิม ยังถึงกรณี นายศิริโชค คัดค้านเรื่องจะใช้เครื่องมือตัดสัญญาณ(แอลไอ) ในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันฯ ว่า อันนั้นต้องไปพูดกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร(ไอซีที) ตนมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แค่โทรศัพท์เข้า กับออก ไม่รู้จริงๆ เฟซบุ๊กก็ไม่มี คนไปด่าตน อย่าไปด่าเลย ด่าไปตนก็ไม่ได้อ่าน ด่าทำไมก็ไม่รู้ ชีวิตตนอยู่กับความเป็นจริง ตนไม่ใช่นักการเมืองเพ้อเจ้อ
"แหม เมื่อก่อนนี้มีมาด ให้โทรศัพท์เชียร์ทางวิทยุ ก็ไอ้ 2 นั้นโทร 30 ครั้ง แล้วก็มายินดีปรีดา สุดท้ายก็พังหมด ผมไม่ใช่นักการเมืองเพ้อเจ้อ ผมอยู่บนโลกความเป็นจริง แล้วเรื่องที่ถามผมปราศรัยไว้หมด ทั้งเรื่องพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ผมปราศรัยหมดไม่ได้ปิดบัง" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
**โวปิดเว็บหมิ่นฯแล้ว60,000 ยูอาร์แอล
ด้านน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการปราบปรามเว็บไซต์แพร่ข้อความไม่เหมาะตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตั้งคณะกรรมการในการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือ เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ซึ่งในช่วง 3 เดือนนี้ ปิดกั้นข้อความไม่เหมาะสมแล้วกว่า 60,000 ยูอาร์แอล จากที่รัฐบาลชุดที่แล้ว ดำเนินการตลอด 3 ปี ได้แค่ 73,000 ยูอาร์แอล แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เอาจริงเอาจัง และสามารถปิดกั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นในเมืองไทย หรือต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนเห็นข้อความเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในเว็บไซต์ หรือ ในสังคมออนไลน์ อย่าไปโพสต์ ข้อความตอบ เพราะจะทำให้ข้อมูลแพร่กระจายมากขึ้น แต่ให้แจ้งที่สายด่วน 1212 ซึ่งทางกระทรวงไอซีที ก็จะเร่งแก้กฎหมาย เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น