อดีตเลขา สมช.ชี้ “ปู” แก้คำร้องเรียนส่ง กพค.ฟังไม่ขึ้น ยังเชื่อในระบบคุณธรรมราชการ มั่นใจได้คืนถิ่น ก่อนเกษียณปี 57 ปลุก ขรก.ต้านนักการเมืองทำผิดกฎหมาย ยอมรับ ห้าเดือนในตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯอึดอัดรับเงินเดือนร่วมแสน แต่ไร้งานทำ พ้อ ถ้าทำผิดให้ออกดีกว่า แนะยุบทิ้งตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ เพราะเป็นแค่กรุเก็บ ขรก.ให้การเมืองโยกระดับ 11
วันนี้ (30 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการ สมช.เดินทางเข้าอวยพรปีใหม่ให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภากรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามกรณีที่ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการ กพค.หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ มีคำสั่งโยกย้ายให้ออกจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ว่า เดิมตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กพค.เมื่อวันที่ 6 ก.ย.54 ต่อมาในวันที่ 15 ทาง กพค.ได้ส่งเรื่องให้นายกฯในวันที่ 15 ก.ย.54 ซึ่งนายกฯมีเวลา 15 วันที่จะแก้คำร้องเรียนของตนตามกฎหมาย แต่นายกฯได้ขอขยายเวลาออกไปอีก 30 วัน รวมเป็น 45 วัน จากนั้นก็ขอขยายเวลาต่อไปอีก 30 วัน รวมเป็น 75 วัน เนื่องจากติดภารกิจเรื่องน้ำท่วม ซึ่งตนก็เข้าใจ แล้วกระบวนการชี้แจงแก้ข้อร้องเรียนของตนก็จบสิ้นไปแล้วเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทาง กพค.ได้แจ้งตนมาแล้วว่า นายกฯได้ทำเรื่องชี้แจงแก้ข้อร้องเรียนของตนกลับมาแล้ว ซึ่งหลังจากนี้คณะอนุกรรมการรับเรื่องร้องเรียนกรณีนี้จะเปิดการไต่สวน ค้นหาความจริงซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องเรียนและคำชี้แจงแก้ประกอบกับข้อเท็จจริง ซึ่งทราบตามกฎหมายว่า การดำเนินการตามกระบวนการทั้งหมดควรอยู่ใน 150 วัน หรือ 5 เดือน ถ้าไม่เสร็จสิ้นตนก็สามารถร้องต่อศาลปกครองกลางได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนกระบวนการที่ทำควบคู่กับทาง กพค.ไปได้
นายถวิล ยังกล่าวถึงเนื้อหาในหนังสือแก้คำร้องของนายกรัฐมนตรีที่ยื่นต่อ กพค.พิจารณาว่า ตนได้อ่านแล้วเห็นว่าไม่สมเหตุสมผลที่จะอ้างว่าการโยกย้ายตนเพื่อให้มาช่วยงานด้านความมั่นคง หรือแม้แต่การระบุว่าคำพูดที่กดดันตนของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดว่า ฟังไม่ขึ้น เพราะข้อเท็จจริงตามคำร้องของตนนั้นชัดเจนว่าเป็นการย้ายเพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แต่เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้กล่าวถึง อย่างไรก็ตามระบบของ กพค.เป็นระบบไต่สวนไม่ใช่ระบบกล่าวหา ดังนั้น ตนเชื่อว่า กพค.จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและให้ความเป็นธรรมกับตน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ใช้สามัญสำนึกก็ตัดสินได้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริงและอะไรคือการแอบอ้าง ทั้งนี้ ไม่คิดที่จะทำหนังสือโต้การแก้คำร้องของนายกรัฐมนตรี เพราะเกรงว่าอาจกลายเป็นช่องทางทำให้มีการประวิงเวลาด้วยการโต้แย้งกลับ แต่ได้แสดงความจำนงต่อ กพค.แล้วว่าตนพร้อมที่จะให้ข้อมูลด้วยวาจาเพิ่มเติมว่าอะไรที่ไม่ตรงกับความจริงในเนื้อหาที่นายกรัฐมนตรีแก้คำร้องส่งให้ กพค.พิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดที่จะใช้ช่องทางนี้ หรือไม่ หากขั้นตอนกระบวนการไม่เป็นไปตามเวลาที่กฏหมายกำหนด นายถวิล กล่าวว่า ตนยังให้คำตอบไม่ได้เพราะยังเชื่อมั่นในขั้นตอนของ กพค. เมื่อถามว่า การที่ผู้ถูกร้องเป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของประเทศในเวลานี้ จะส่งผลกดดันต่อการพิจารณาของ กพค.ซึ่งเป็นข้าราชการประจำหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า “ไม่มีเพราะผมเชื่อมั่นในความยุติธรรม เชื่อมั่นในระบบคุณธรรม ซึ่งถ้าระบบข้าราชการของเราไม่มีระบบคุณธรรม นามสกุลผมคือ เปลี่ยนศรีน่ะ ไม่ใช่เปลี่ยนสี ซึ่งหลายคนเอาไปล้อว่าเปลี่ยนสีโน้น เปลี่ยนสีนี้ มันไม่ใช่ แต่เป็น “เปลี่ยนศรี” ซึ่งหมายถึง ศักดิ์ศรี ดังนั้น จึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมเองเชื่อในระบบคุณธรรมในระบบราชการ ถ้าระบคุณธรมไม่มีในระบบราชการแล้วจะเอาอะไรในราชการ เงินเดือนก็น้อย ดังนั้นจึงเชื่อในระบบคุณธรรมว่าจะให้ความเป้นธรรมกับข้าราชการได้ และนามสกุลนี้ก็ไม่ได้ใญ่โต แต่ระบบราชการดั้งเดิมใน สมช.ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมช.ต่างเชื่อมั่นในระบบคุณธรรม ผมถึงเติบโตมาได้จนถึงขณะนี้ ฉะนั้น ผมเองก็ต้องเชื่อต่อไปในคุณความดีตรงนี้ และยังเชื่อในกฏหแห่งกรรมว่า ทำกรรมดี ต้องได้รับ กรรมดีตอบ”
เมื่อถามอีกว่า แต่ถ้าความยุติธรรมที่มาช้ามันก็คือความไม่ยุติธรรมตามภาษิตด้านกฏหมาย นายถวิล กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าศาลปกครอง หรือ กพค.ตระหนักในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ตนเกษียณอายุราชการ ก.ย.ปี 2557 ซึ่งยังเชื่อมั่นว่าจะได้ความยุติธรรมตรงนี้กลับมาและยอมรับในความยุติธรรมตรงนี้ สำหรับที่หลายฝ่ายมองว่าจะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนกับกรณีที่ทางกระทรวงมหาดไทยเคยย้ายนายวงศ์ศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อธิบดีกรมการปกครองออกไปและย้ายนายมงคล สุระสัจจะ มาเป็นแทน ซึ่งทาง กพค.ได้วินิจฉัยให้ท่านวงศ์ศักดิ์ กลับคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง แต่มีท่านมงคลยังนั่งแทนอยู่ ที่สุดแล้วก็ต้องย้ายท่านมงคลออกไปก่อน ซึ่งท่านมงคลก็ไปฟ้องศาลปกครองอีก มันก็เป็นแนวปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้าสมมุติว่า กพค.มีมติย้ายตนกลับไปที่เลขาฯสมช. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธ์ศรี เลขาฯ สมช.ท่านก็ต้องไปร้องศาลปกครอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้าราชการเองก็ถือเป็นเสาหลักของบ้านเมือง นายถวิล กล่าวว่า ข้าราชการถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง ไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกไล่อีกฝ่ายหนึ่ง และต่างคนต่างมีหน้าที่ตามขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งในส่วนระบบราชการก็มีระบบคุณธรรมปกป้องอยู่ คือ กพค.และศาลปกครอง ดังนั้น ข้าราชการต้องทำงานอย่างสุจริต โดยไม่ต้องแคร์อะไร เพราะวันหนึ่งก็ต้องพ้นหน้าที่ไป ตามกติกา แต่สิ่งที่เหลือในชีวิตคือความภาคภูมิใจ
ส่วนกรณีที่มีการวิจารณ์ถึงการทำงานของข้าราชการในกระทรวงการต่างวประเทศว่ายอมทำในสิ่งที่ขัดต่อระเบียบของกระทรวงเพื่อรับใช้ฝ่ายการมือง โดยการออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายถวิล กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่ต้องยอมรับว่า ข้าราชการทำงานยาก เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วก็ทำให้ทำงานลำบาก ที่ดีที่สุดคือการไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย แต่ฝ่ายประจำก็ต้องทำภายใต้ขอบเขตของกฏหมาย อะไรที่ผิดกฎหมายต้องบอกว่าทำไม่ได้ เช่นนี้ก็จบ ซึ่งตนยังเชื่อว่ามีข้าราชการที่คิดแบบนี้อยู่ในทุกหน่วยงานราชการเหมือนนักข่าว หากกลัวเหมือนกันหมดก็คงไม่มีใครกล้าถามแบบตรงไปตรงมา “ฝ่ายประจำต้องไม่ทำในสิ่งผิดกฏหมายและต้องปฏิเสธเพราะเราต้องพูดให้ชัดเจนว่า คำสั่งที่ขัดกฎหมาย ข้าราชการทำให้ไม่ได้ อย่าไปห่วงว่าจะกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ แต่ต้องยอมรับข้าราชการหลายคนเป็นแบบนี้และบางคนถึงกับยืมมือฝ่ายการเมืองมากลั่นแลก้งกันเองก็มี จึงต้องปลุกขวัญกำลังใจให้มีความกล้าหาญให้ทำงานโดยสุจริต หากทำได้เชื่อว่าไม่มีอะไรมาแผ้วพานได้แน่นอน ส่วนตำแหน่งเป็นแค่หัวโขนได้มาเดี่ยวก็พ้นไป
นายถวิล ยังกล่าวถึงการทำงานของ สมช.หลังจากที่ตนถูกย้ายออกจากหน่วยงานดังกล่าวว่า ตนยังมั่นใจในข้าราชการนี้ถูกฝึกปรือมาเพื่องานด้านความมั่นคงแม้หัวจะเปลี่ยนจากพล.ต.อ.วิเชียร ก็คงไม่มีผลสามารถทำงานเพื่อชาติบ้านเมทือง แต่อยากให้คำนึงถึงการให้ความสำคัญกับคนที่ทำงานในสมช.ไม่ควรเอาคนนอกเข้ามา ควรเลิกคิดเพราะเป็นการทำลายขวัญกำลังใจ ควรให้คนเหล่านี้เติบโตตามสายงานวิชาชีพของตัวเอง ทั้งนี้ หลังจากที่ถูกย้ายให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงนั้นต้องบอกว่าบ้านเมืองไม่ได้ประโยชน์จากการอยู่ในตำแหน่งนี้ของตน
“สี่ห้าเดือนที่ผ่านมา ผมอึดอัดเพราะไม่มีงานให้ทำ นายกบอกว่าให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านความมั่นคงมอบหมายงานให้ผมทำ แต่ท่านก็มีงานมากจึงไม่ได้มีการมอบหมายอะไรให้ผมทำ บ้านเมืองก็เลยไม่ได้ประโยชน์อะไรในการใช้ศักยภาพของผมเพื่อทำงานรับใช้ประเทศ ผมคิดว่าความจริงถ้าผมทำผิดไล่ผมออกเสียยังดีกว่าเพราะมันไม่ต้องเปลืองภาษีอากรของประชาชน ตำแหน่งที่ปรึกษาเหล่านี้มีไว้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เป็นประโยชน์กับฝ่ายการเมืองในการโยกย้ายข้าราชการระดับ 11 จะได้มีกรุเอาไว้รองรับ ผมอึดอัดมหาศาลเลย เงินเดือนผมรวม ๆ แล้วเป็นแสนนะ แล้วผมไม่ได้ทำงานมันก็เท่ากับโกง แต่ที่วันนี้ผมยังทนอยู่ในระบบราชการไม่ลาออกเพราะผมไม่ยอมแพ้ต้องสู้ต่อและหวังว่าความเป็นธรรมจะหาเจอภายในชาตินี้ ไม่ต้องไปหาในชาติหน้า” นายถวิล กล่าว