xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ชี้ชุมนุมไล่รัฐบาลแบบเดิมไร้ผล รอวันแตกหักเท่านั้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” ชี้ทดสอบแล้วการชุมนุมไล่รัฐบาลไร้ผล เพราะนักการเมืองไทยด้านเกินพิกัด เชื่อท้ายที่สุดแล้วต้องปะทะกันรุนแรง ด้าน “ปานเทพ” ระบุเพื่อไทยตั้งธงคดีฆ่าเสื้อแดง หวังจัดการทหารก่อนที่จะเดินเกมอื่น คาดกองทัพไม่ยอมตกเป็นลูกไล่แน่ เนื่องจากจะสั่นสะเทือนต่อทั้งสายบังคับบัญชา กลายเป็นองค์กรพิกลพิการทันที ย้ำเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่เป็นจุดแตกหักระหว่างทหารกับรัฐบาล


วันที่ 20 ธ.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV

นายประพันธ์กล่าวว่า คดีชันสูตรพลิกศพเสื้อแดงสำคัญ ประชาธิปัตย์ทิ้งเรื่องนี้ไว้ ทำให้เพื่อไทยหยิบยกขึ้นมาต่อยอดเพื่อเล่นงานทหาร และประชาธิปัตย์ ฉะนั้น นโยบายสืบสวน ตำรวจตั้งธงไว้แล้ว กลับคำพยานหมดแล้ว เพื่อปรักปรำทหาร เพียงแต่ยืมปากนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ มาสอบสวนเพื่อปิดสำนวนให้สมบูรณ์เท่านั้น อัยการก็รับลูกไว้แล้ว พร้อมไต่สวน 28 ธ.ค.

เมื่อเรื่องนี้ไปถึงศาล แน่นอนหลักฐานไปอย่างนั้น ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เมื่อพบว่าทหารเป็นคนผิดมันก็จะโยงไปยังคดีอาญาและแพร่ง เพราะแม้มี พ.ร.บ.ฉุกเฉินก็ไม่ได้คุ้มครองทั้งหมด คุ้มครองเฉพาะการปฏิบัติตามหน้าที่ เมื่อการไต่สวนบอกว่าทำเกินสมควรกว่าเหตุก็เข้าข่ายความผิด

เพื่อไทยทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงขบวนการล้มเจ้าด้วย การปล่อยให้ขบวนการพวกนี้เดินหน้าต่อไป จะทำให้กองคาพยพของสังคมอ่อนแอลง และเขาจะกลับมาเป็นใหญ่ สัญญาณอันตรายมันกำลังใกล้มาถึงแล้ว

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ทำไมรัฐบาลเดินหน้าทุกแนวรบอย่างรวดเร็ว ตนคิดว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่ 1.เขามีความเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่เป็นรัฐบาลได้ไม่นาน 2.โดยลักษณะบุคลิกของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนต้องทำเร็ว 3.ถูกมวลชนเสื้อแดงกดดันให้รีบล้มอำมาตย์ ให้ช่วยฟอกความผิดให้พวกเขา 4.มีกรอบเวลา เช่น คดีชันสูตรพลิกศพ เขาก็เร่งผิดปกติ  เช่นพอสำนวนส่งถึงอัยการ ความจริงอัยการมีเวลาอีก 30-90 วัน เห็นจากการที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เพิ่งไปให้การสัปดาห์ก่อน สำนวนส่งถึงอัยการแล้ว เพราะตั้งธงไว้แล้ว อัยการก็เร็ว จะส่งไต่สวนวันที่ 28 นี้แล้ว

ทีนี้พอเดินหน้าเร็ว ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่ความรุนแรง ขบวนการใต้ดินก็เดินแรง พวกไม่เอาเจ้ากำลังร่วมมือกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็สนับสนุน ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปเนปาล ที่ไปก็เพื่อศึกษาโมเดลล้มเจ้าของประเทศนั้น การเดินเกมเร็ว แน่นอนมันต้องนำไปสู่การปะทะในสังคม เหตุการณ์ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าสถานการณ์การเมืองร้อนแน่ และอาจถึงจุดแตกหัก เชื่อว่าเรื่อง 16 ศพ กองทัพกำลังตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาล และตกเป็นลูกไล่ของตำรวจ เกียรติภูมิกองทัพไม่เหลือเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วศาลก็ต้องว่าไปตามสำนวนที่อัยการเสนอมา น่าเป็นห่วง ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แต่ด้วยความใจร้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะนำไปสู่การปะทะในทางการเมืองเร็วๆ นี้

นายประพันธ์กล่าวต่ออีกว่า ต่อไปนี้การชุมนุมแบบเดิมๆที่พันธมิตรฯเคยชุมนุมจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะพัฒนาการของความขัดแย้งมันเลยขั้นการชุมนุมเพื่อตัดสินปัญหาแล้ว เมื่อก่อนเราชุมนุมเพราะเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณมาจากการเลือกตั้ง นึกว่าอยู่ในอารยชน จะฟังเสียงประชาชนและพิจารณาตัวเอง แต่วันนี้ได้ทดสอบแล้วว่ามันถูกปกครองโดยทรชนประชาธิปไตย ยุคนี้ยิ่งหนักเป็นยุคโจรครองเมือง แล้วจะไปชุมนุมเรียกร้องจากโจรหรือ

การต่อสู้ต่อไปนี้ต้องดูว่าสู้กันด้วยรูปแบบไหน การชุมนุมถ้าจะเกิดขึ้นต้องลุกฮือขึ้นแบบปฏิวัติ เช่นในประเทศตูนิเซีย อียิปต์ การชุมนุมเรียกร้องให้รับผิดชอบเลิกได้เลย เพราะนักการเมืองไทยด้านเกินพิกัดแล้ว การต่อสู้ต่อไปนี้ยังไม่มีเหตุที่จะมานับจำนวนผู้ชุมนุม ไม่ว่าใครจะจัดการชุมนุมต้องรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วขบวนทัพของแต่ละฝ่ายมันจะปะทะกันรูปแบบไหน จะเป็นการปะทะที่รุนแรงแตกหัก สถานการณ์แบบนี้อย่าถามว่าฝ่ายไหนมีเท่าไหร่ ต้องรอดูว่าปะทะเมื่อไหร่ แต่ละฝ่ายจะกรีฑาทัพตัวเองออกมาเท่าไหร่

ขณะที่ นายปานเทพกล่าวว่า ที่ตนพูดถึง 3 สัญญาณอันตรายจุดแตกหักระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ สัญญาณแรกขบวนการจาบจ้วง ดูหมิ่น และอาฆาดมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้มีแรงต่อต้านมาก รัฐบาลก็จะยื้อเวลาให้นานที่สุด เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองมีความเสี่ยง จึงจะยื้อมาตรา 112 ต่อไป

แต่สัญญาณที่ 2 เรื่องไทย-กัมพูชา อันนี้มีเวลากำหนด เพราะศาลโลกต้องตัดสินภายในปีหน้า ถ้าไม่ทำอะไรสูญเสียอธิปไตย ทหารต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยให้รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ เป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก

สัญญาณที่ 3 การเอาผิดทหารเป็นธงของรัฐบาล ครอบงำกระบวนการสอบสวน น่าจับตาว่าทหารจะทำอย่างไร ระหว่างยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าผลออกมาว่าผิดก็จะมีความผิดทางอาญา สั่นสะเทือนต่อทั้งกระบวนการสายบังคับบัญชา ทหารก็จะเป็นเหมือนตำรวจที่ไม่กล้าทำอะไรอีกในทุกๆ เรื่อง กลายเป็นองค์กรพิกลพิการ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อผู้บังคับบัญชาด้อยลงทันที อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งไม่มีใครฟังแล้ว  ทีนี้อย่าว่าแต่ผิดเลย แค่ขึ้นสู่กระบวนการไต่สวนเมื่อไหร่ ตนคิดว่าแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาหวาดวิตกว่าตัวเองมีความเสี่ยงว่าต้องผิด ในแง่ของสถาบันกองทัพก็ไม่น่าจะยอมได้ เพราะกระทบต่อกระบวนการบังคับบัญชาทั้งหมด ตนคิดว่าทหารไม่น่าจะยอมให้ไปถึงจุดนั้น  ต้องวัดใจทหารว่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างรัฐบาลหรือไม่ ทั้งที่ตัวเองไปเสี่ยงกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ

ส่วนถ้ารัฐบาลจะทำประชามตินิรโทษกรรมเพื่อช่วยทหาร หวังดึงมาเป็นพวก เสื้อแดงก็จะต่อว่ารัฐบาล และขั้นตอนทำประชามติก็ยาวนานมาก ไม่ทันกระบวนการไต่สวน หรือหากรีบก็เป็นไปไม่ได้ เป็นทรยศต่อมวลชนตัวเอง เลยต้องบี้ให้ทหารเป็นผู้แพ้ กระชับอำนาจทหารให้เป็นของตัวเองจนหมดสิ้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการแก้พรบ.กลาโหม ก่อนเข้าสู่การแก้กระบวนการยุติธรรมให้เหลือศาลเดียว ที่ตัวเองสามารถได้ประโยชน์มากที่สุด เลยต้องจัดการเป้าทหารให้จบสิ้นก่อน ถึงค่อยเดินเกมอื่น เวลาตอนนี้ภายนอกเหมือนจับมือกัน ทำเป็นเข้าพบทหารมีสัมพันธ์อันดี ก็เพื่อรอสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน

นายปานเทพกล่าวอีกว่า มักมีคนบอกว่าตอนนี้พันธมิตรฯเหลือนิดเดียว แต่อย่าลืมว่าพันธมิตรฯเคลื่อนตามประเด็น คือ จาบจ้วงสถาบันฯ กับนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ พอเคลื่อนในประเด็นเดียวกัน แม้ต่างกลุ่มกันก็อาจมาร่วมกันได้ ฉะนั้นจำนวนคนไม่สำคัญ คนน้อยหรือเยอะไม่ได้ปัจจัยเสี่ยงต่อพันธมิตรฯเลย แต่เสี่ยงต่อรัฐบาลต่างหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจไม่มีแผ่นดินอยู่แบบพี่ชายก็ได้





กำลังโหลดความคิดเห็น