บ้านพระอาทิตย์
บอกได้ว่างานนี้มีแต่กำไรสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กับการเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้นำที่พิสูจน์ให้เห็นเรื่อยๆว่า “กลวง” เกินความหมาย ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นสักอย่าง มันก็ช่วยไม่ได้ที่ย่อมเปิดช่องให้พวก “เขี้ยวลากดิน” ทางการเมืองใช้เป็นโอกาสถีบตัว สร้างอำนาจขึ้นมาได้ไม่ยาก
หากพิจารณากันตามความรู้สึก เชื่อว่าตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเมื่อครั้งที่ฟอร์มคณะรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ขึ้นมาใหม่ๆ เพราะรับรู้อยู่ว่าเป็นตำแหน่งลอย ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการโดยตรง ต่างกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอย่างสิ้นเชิง มีงบประมาณ มีบุคลากรมีอำนาจสั่งการได้อย่างเต็มที่ และยังเชื่อว่าตำแหน่งที่เขาชมชอบที่สุดก็คือเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรืออย่างน้อยก็ต้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในปัจจุบันตามโครงสร้างถือว่ามีอำนาจไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่า โดยเฉพาะการได้ควบคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และกรมราชทัณฑ์ เป็นต้น
แต่นาทีนี้ถ้าให้มองข้ามช็อตเขาอาจจะมองผ่านและกำลังฝันหวานไปไกลถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ส้มหล่น” หลังจากได้เห็นความไม่เอาไหนของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากขึ้นทุกวัน และสังคมกำลังมองด้วยสายตาสมเพชอยู่เรื่อยๆ
ที่สำคัญหากคนอย่างยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมคนอย่างเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างไม่ได้
อย่างน้อยเมื่อเทียบกันคำต่อคำเอาเข้าจริงระดับภาษาอังกฤษก็ไม่น่าแตกต่างกันนัก นั่นคือ “ไม่รู้เรื่อง” ทั้งคู่ ขณะเดียวกันหากพิจารณาในเรื่องสติปัญหาระดับสมองเมื่อเทียบกับรัฐมนตรีคนอื่นๆก็ไม่ได้แตกต่างกันแต่รับรองว่าในเรื่องการสร้าง “ปมเด่น” รู้จักมุมกล้อง รู้จักพูด มีลีลาให้เป็นข่าวได้ทุกวัน เวลาให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ก็มีการปล่อยเสียงโม้ได้ทุกวัน ทุกเรื่อง จริงไม่จริงไม่รู้ สามารถเป็นข่าว เป็นประเด็นพาดหัวได้ทุกวันก็แล้วกัน เทียบกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหลบไปเลย หรือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่พูดจาเงอะๆงะ โดยเฉพาะคนหลังนี่ “หมดสภาพ” ไปแล้วหลังจากยอมให้ครอบงำ “บอกบท” ในวันถูกฝ่ายค้านซักฟอกในสภาเมื่อหลายวันก่อน เวลานี้ความโดดเด่นเทียบกันไม่ติด
สิ่งที่ เฉลิม กำลังสะสมแต้มเพื่อให้เข้าตา นายทักษิณ ถ้าเปรียบกับการชกมวยก็รัวหมัดมั่วๆเอาไว้ก่อนในสิบหมัดมันก็ต้องเข้าเป้าสักหมัดสองหมัดแหละน่า แต่อย่างน้อยก็ต้องสร้างความประทับใจเอาไว้ก่อน และที่สำคัญงานนี้มีแต่กำไรกับเสมอตัว ไม่มีขาดทุนแน่นอน เริ่มจากทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ปู ทำหน้าที่ตอบกระทู้ เป็นหนังหน้าไฟชนกับฝ่ายค้านในสภา และแถมด้วยการยกยอปอปั้น ทักษิณ ด้วยการส่งเสียงให้ได้ยินไปถึงแดนไกล และผลงานที่โดดเด่นก็คือความพยายามผลักดันขอพระราชทานอภัยโทษแม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็น่าจะได้ใจบ้าง อีกทั้งยังมัดใจสร้างความหวังต่อด้วยการประกาศว่าจะผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในวันหน้าให้ได้
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมที่จะต้องเชิดชูความโดดเด่นให้กับ “พี่เมียนาย” นั่นคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะรู้ว่าสำหรับคนๆนี้จะล้ำเส้นไม่ได้เป็นอันขาด
นั่นคือบทบาทของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่อาศัยความ “เขี้ยว” ที่เหนือกว่าคนอื่นสร้างความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่าจับตาก็คือล่าสุด เขาได้รับการมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ให้เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ความหมายก็คือเพื่อดำเนินการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ต้องบอกว่านี่ไม่ธรรมดาสำหรับ เฉลิม เพราะสามารถกินได้สองต่อ
อย่างแรกเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องการลดแรงกดดันในเรื่องขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด โดยมีการระบุว่าคนที่อยู่เบื้องหลังล้วนแล้วแต่ใกล้ชิดกับรัฐบาลแทบทั้งสิ้น อีกทั้งกรณีเฟซบุ๊กของนายกฯเองก็ยังผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเมื่อเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันถวายความจงรักภักดีเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา แต่กลับลงพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความ “จงใจให้ผิดพลาด” แบบเนียนๆ ขณะเดียวกันยังมีเรื่องการเข้ามอบตัวของ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ในช่วงเวลานี้พอดี ลักษณะก็เหมือนกับการต้องการเบี่ยงเบนความสนใจออกมาจากช่วงเวลาแห่งความปลื้มปิติของคนไทยไม่มีผิด
นอกจากนี้ยังมีการสั่งระงับงานแสงสีเสียงเทิดพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงและความไม่พอใจจากประชาชนที่จงรักภักดีเพิ่มมากขึ้นไปอีก ปรากฎการณ์ดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกตำหนิอย่างรุนแรง ดังนั้นการแต่งตั้ง เฉลิมเข้ามารับงาน ซึ่งเป็นงานสำคัญก็ยิ่งทำให้เกิดความโดดเด่น เพิ่มราคาให้สูงขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ยังมีผลติดปลายนวมในการแย่งชิงพื้นที่ แย่งชิงบทบาทกันภายในพรรคโดยเฉพาะกับคู่อริเก่า นั่นคือถ้าพิจารณาให้ดีบทบาทในการปราบปรามเว็บหมิ่นฯถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงไอซีที ที่อยู่ในการดูแลของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และหากพิจารณาไปถึงแบ็กกราวด์ก็ต้องเข้าใจว่า อนุดิษฐ์ เป็นสายตรงของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์คนที่เคยขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทำท่าทางขึงขังตรวจน้ำท่วมจนเสียคนไปกับ พล.ต.อ.ประชาในช่วงแรกๆ ไงละ ทีนี้เห็นภาพชัดหรือยังว่าเฉลิม กับ สุดารัตน์ นั้นมัน “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ”กันมานานแล้ว
แต่มันช่วยไม่ได้เมื่อ อนุดิษฐ์ ไม่เอาไหน ไม่มีปัญญาปราบเว็บหมิ่นฯที่กำลังระบาดซึ่งจะเป็นเพราะเหตุผลหรือติดขัดอะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ลูกเข้าเท้า ร.ต.อ.เฉลิมเต็มๆ อีกทั้งคณะกรรมการมีจำนวนถึง 22 คน ล้วนแล้วไม่ธรรมดา เพราะมีระดับปลัดกระทรวงสำคัญมาร่วมกันเพียบตั้งแต่กลา โหม มหาดไทย ไอซีที ยุติธรรม ต่างประเทศ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
รับรองว่าต้องมีรายการ “แอ็กอาร์ต” กันสนุกแน่ ขณะเดียวกันสังคมก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าการทำหน้าที่จะจริงจังหรือลูบหน้าปะจมูกแค่ไหน หรือเป็นแค่เข้ามาตัดเกม และแย่งซีน สุดารัตน์ ชิงพื้นที่อิทธิพลหวังผล “ส้มหล่น” วันหน้าเท่านั้น อีกไม่นานก็เห็นภาพชัด !!