ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นเรื่องเซอร์ไพรซ์ไม่น้อยสำหรับการตั้งวงกินข้าวเที่ยงและสนทนากันที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นโต้โผใหญ่ น่าสนใจก็คือในวงดังกล่าวนอกเหนือจากเจ้าภาพแล้วยังมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ฝ่ายกองทัพ มี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นภาพก็ต้องชี้ให้เห็นถึงบทบาทของแต่ละคนในปัจจุบัน รวมไปถึงแบ็กกราวด์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อจะได้มองเห็นภาพว่าอาหารมื้อนี้มีรสชาติซี๊ดซ๊าดจัดจ้านเพียงใด เพราะเมื่อพิจารณาตามรายชื่อของแต่ละบุคคลแล้วรับรองว่าไม่ธรรมดา และหัวข้อสนทนาก็ไม่ธรรมดาแน่นอน
ก่อนอื่นก็ต้องสังเกตเห็นบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม เสียก่อนว่า กำลังเปิดเกมรุกในลักษณะทำแต้มเพื่อเอาใจ “นาย” คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของ รัฐบาล เจ้าของพรรคเพื่อไทย ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็น “หนังหน้าไฟ” เผชิญหน้ากับ พรรคประชาธิปัตย์ในสภา ทำหน้าที่ชี้แจงแทน นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในทุกเรื่อง ถัดมาก็ร่วมขบวนการสอดไส้ร่างพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าจะไม่สำเร็จแต่ก็แสดงให้เห็นว่าได้ “ทำเต็มที่” แล้ว เพราะหลังจากนั้นก็ได้ประกาศว่าจะผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมตามมาอีก
นอกเหนือจากนี้หลังจากใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ผลักดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เป็นการ “กระชับอำนาจ” ร่วมเป็นมือไม้ในการ “สร้างรัฐตำรวจ” ได้อีกครั้ง พร้อมๆกับมีการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ เข้ามาดูแลคดีสำคัญทั้งหมด มันก็มีความน่าสนใจขึ้นมาทันที
ไม่ได้ผิดความคาดหมาย เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีการเร่งรัดให้มีการรื้อฟื้นคดี 91 ศพ รวมถึงคดี 13 ศพ ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งความหมายก็คือ ต้องการเช็กบิล “อำนาจเก่า” ทั้งฝ่ายประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ แต่รับรองว่าเป้าหมายหลักอีกอย่างหนึ่งก็คืออาจจะลากโยงมาถึงกองทัพในฐานะผู้ปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งก็ต้องพุ่งมาหา พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง
หากพิจารณาอย่างละเอียด และอย่างรู้ทันก็ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน หลังจากที่มีการโอนคดี 13 ศพ จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มาอยู่ในความดูแลของตำรวจนครบาล ที่มีหัวหน้าใหญ่คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ และถ้าแคบลงมาก็คือ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่เป็นหัวหน้าหน่วย
การให้สัมภาษณ์หลายครั้งของ เฉลิม อยู่บำรุง นอกจากพาดพิงถึง อภิสิทธิ์-สุเทพ แล้วยังเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาไปถึงกองทัพ โดยเป็นลักษณะของการพูดแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่ชัด แต่ก็ให้เข้าใจว่าใครบ้างน่าสงสัยและเกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีจะพบว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงพยายามสร้างความสัมพันธ์กับบรรดา “หัวโจก” เสื้อแดง ที่ผ่านมาถึงกับเปิดบ้านย่านบางบอนต้อนรับ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ซึ่งกรณีของ จตุพร นั้นเคยถูกกองทัพแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฐานกล่าวปราศรัยจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ บนเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2554 และ จตุพร คนเดียวกันนี่แหละที่กล่าวหาว่ากองทัพไม่ได้ออกมาช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมอย่างจริงใจ ตรงกันข้ามยังกล่าวหาอีกว่าได้วางยารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ อีกต่างหาก
นอกจากนี้หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังเคยระบุว่า ทหารเป็นคนลงมือสังหารลูกเรือจีนจำนวน 13 ศพ พร้อมทั้งยังให้ข้อมูลอีกว่ารัฐบาลจีนไม่พอใจเรื่องนี้มาก ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คนในกองทัพหลายคนต้องกัดฟันกรอดแน่
นั่นเป็นเรื่องราวและ บทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และล่าสุดยังมีเรื่องการระบาดของเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้แทบทั้งสิ้น
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่าเป็นการเคลียร์กันในหลายเรื่องเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ระหว่างกองทัพ กับตำรวจ และมีการเปิดเผยว่า ผู้บัญชาการทหารบกไม่สบายเรื่องเว็บหมิ่นฯมันก็น่าจะชัดเจน ซึ่งยังมีคำพูดคำหนึ่งหลุดออกมาก็คือ “ผู้บัญชาการทหารบก รู้ว่าใครทำ” นั้นหมายถึง “ใคร” รวมถึงฝากให้ เฉลิม ไปพูดคุยกับคนเสื้อแดงด้วยว่า “พวกเรา” (ทหาร) รู้สึกอย่างไร คำพูดอย่างหลังนี่แหละสำคัญ
แม้ว่าในภาพรวมที่ออกมาพยายามแสดงออกให้เห็นว่าเป็นภาพความปรองดองระหว่างกองทัพกับคนในรัฐบาลและตำรวจจะได้ร่วมมือกันทำงานเพื่อประเทศชาติหลังได้ฟังพระราชดำรัส แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นตัวบุคคลที่เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะแล้วรับรองว่านี่คือการส่ง “สัญญาณเข้ม”ไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ข้างหลังผ่านทาง เฉลิม อยู่บำรุง ที่กำลังทำหน้าที่เป็น “หัวหมู่” รับงานเพื่อรอผลตอบแทนว่า อย่า “ล้ำเส้น” เข้ามาเป็นอันขาด !!