กมธ.สอบโกง วุฒิฯ ติดใจคดีปล้นบ้าน “สุพจน์” “รสนา” ชี้ พิรุธอาจมีนักการเมืองต่างค่ายจ้างมาปล้น ด้าน “คำนูณ” แนะรัฐรื้อโครงการสอบโกงย้อนหลัง จ่อเรียกนายกฯมาแจง ขณะที่ “เหลิม” โผล่แจง ปัดสั่งค้นบ้าน 3 นักการเมือง หวั่นคนหาว่าบ้าอำนาจ โอ่เบรก ครม.ของบฟื้นฟูหมื่นล้าน เหตุเห็นช่องหาประโยชน์ ชูมืออาสาสอบโกงย้อนหลัง โวรถไฟฟ้าสีม่วง มีคนติดคุกแน่ ไม่เชื่อมีสอดไส้เงินพันล้านเข้าบ้านปลัด คค.คาดได้ตัว “โก้” จะรู้เรื่องทั้งหมด
วันนี้ (8 ธ.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา โดยมี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธาน กมธ.เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งได้เชิญ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เข้าชี้แจงถึงกรณีคดีปล้นบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดย น.ส.รสนา พยายามถามย้ำหลายครั้งถึงความคืบหน้าทางคดี ว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของนายสุพจน์จริง และจะมีกรณีการยัดเงินเข้ามาในภายหลังหรือไม่ เพราะมีการมองว่าการปล้นครั้งนี้ เป็นการปล้นทางการเมือง ที่ต้องการแฉและใส่ร้ายกัน รวมทั้งความเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการปล้นเงินไปส่วนหนึ่ง และนำเงินอีกส่วนหนึ่งเข้ามาผสม เนื่องจากคดีนี้ทำท่าจะกลายเป็นเจ้าทุกข์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตรงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีวิธีการพิสูจน์อย่างไรว่าจะไม่มีการใส่ร้ายและยัดเงินในภายหลัง เพราะมีการมองว่านักการเมืองอีกค่ายสร้างมาให้ปล้นหรือไม่
ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.ได้เสนอความเห็นว่า รัฐบาลควรถือโอกาสนี้ยกเป็นวาระที่จะปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ซึ่งตนเสนอให้รัฐบาลตรวจสอบโครงการที่ส่อว่าจะทุจริตย้อนหลังไป 5 ปี ในกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ที่คนในสังคมก็ทราบกันดีว่าทำไมถึงเป็นกระทรวงเกรดเอ จึงขอเสนอให้ กมธ.พิจารณาเสนอเป็นญัตติหารือในที่ประชุมวุฒิสภา และขอความร่วมมือให้นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมรับฟัง และชี้แจงต่อสมาชิกวุฒิสภา
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงทองฝังเพชร และจะต้องตามจับผู้ต้องหาอีก 3 รายได้เมื่อไหร่นั้น ตนก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เชื่อว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนน่าจะเป็นคนขับรถ ขนเงิน และคนใช้ในบ้าน ของปลัดกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ตนเคยจะสั่งการให้เข้าไปค้นบ้านนักการเมือง 3 คน แต่ที่ตนไม่ทำ เพราะเกรงว่าคนจะมองว่าตนบ้าอำนาจ ซึ่งมีบ้านนักการเมืองหนึ่งหลัง ในปี 2539 เคยมาขอยืมเงินลูกชายคนโตของตน จำนวน 30 ล้านบาท และอีกหนึ่งหลังเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดเคยอยู่ในพรรคไทยรักไทย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และในขณะนี้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่อีกหนึ่งหลังตนไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะน่าจะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว
“คดีอาชญากรรมต้องสืบจากศพ คดีเศรษฐกิจต้องสืบจากเงิน วันนี้ นายสุพจน์ เดินไปไหนก็ต้องอึ้ง เพราะตอบคำถามใครไม่ได้ว่าทำไมถึงมีเงินจำนวนมากขนาดนี้ อย่าว่าแต่ข้าราชการเลย นักการเมืองหลายคนชอบเก็บเงินไว้ในบ้าน บางคนเก็บไว้จนแมลงสาบตายหมด เพราะเหม็นกลิ่นแบงก์ ต้องพุ่งเป้าตรวจสอบไปที่นักการเมืองที่มีโครงการเยอะๆ อย่างการประชุม ครม.900 นาที ผ่าน 311 วาระรวด สั่งซื้อเครื่องบินที 70-80 ลำ โดยเฉพาะงบของกรมทางหลวง อาทิ ถนนปลอดฝุ่น” ร.ต.อ.เฉลิม ระบุ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ล่าสุด ของบฟื้นฟูน้ำท่วม 1 หมื่นกว่าล้านบาท รวมถึงโครงการแปลงพื้นที่ทางการพิเศษ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งตนก็คัดค้านกลางที่ประชุม ครม.อยากให้ทาง กมธ.นี้ ทำหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีการตรวจสอบโครงการใหญ่ๆ ย้อนหลัง แต่ตนไม่กล้าพูดถึงขนาดว่าจะมีการสังคายนาเลยหรือไม่ เพราะเรื่องของกระทรวงคมนาคม ส่วนตัวเชื่อว่านายกรัฐมนตรีเองก็อยากจะทำ และหากจะมอบหมายให้ตนตรวจสอบก็สามารถพูดได้เลยว่า มีการโกงเกิดขึ้นจริง และพูดได้เลยว่ากรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วง ต้องมีคนเข้าคุกแน่ เพราะมีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ จนทางไจก้ายกเลิกสัญญากับบริษัทที่ประมูลได้ ที่ผ่านมา มีการอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย อย่างเช่น สายสีม่วงเป็นของบริษัท ซิโน-ไทย ที่ได้งาน ส่วนสายสีน้ำเงิน ก็ของ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) สายสีเขียวของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) สายสีแดง ของบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
“พวกนี้รู้กันหมด ดังนั้น ถ้ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีโกงเราก็อยู่ได้ แต่ถ้าโกงเมื่อไรก็จบหิ้วกระเป๋ากลับบ้านได้เลย ซึ่งผมไม่อยากเห็นสังคมไทยไปเชื่อคำพูดของพวกสร้างภาพ เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านไม่เคยอภิปรายในสภา เอาแต่เก็บถุงอย่างเดียว” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ข้อสังเกตของ น.ส.รสนา ที่ระบุว่า อาจมีการยัดเงินในภายหลังนั้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ตรงกับหลักความเป็นจริง เพราะคนพวกนี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอ คนพวกนี้ทำได้ก็แต่เบียดบังเงินของกลางไป สำหรับคดีปล้นบ้านนายสุพจน์ ในส่วนของคดีปล้นทรัพย์ ถือว่าสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบอยู่ ถ้าหากได้ตัว นายวีระศักดิ์ เชื่อลี หรือ นายโก้ ก็จะสามารถเชื่อมโยงได้หมด เพราะถือว่าเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ
“ถ้านายโก้ไม่มั่นใจในความปลอดภัย ผมก็พร้อมจะเดินทางไปรับตัวด้วยตนเอง จะเป็นที่ จ.หนองคาย ก็ได้ ส่วนข้อสังเกตที่ว่า นักการเมืองถึงจะอยู่คนละพรรค แต่อาจซูเอี๋ยกันนั้น ยอมรับว่า ในทางการเมือง ส.ส.ก็ปรับเปลี่ยนไปอยู่คนละพรรคได้ แต่คดีนี้ไม่มีวันแปรเปลี่ยน เพราะหลักฐานชัดเจน บอกได้แค่ว่ามันจบแล้วครับนาย” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ชี้แจงว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบว่าเงินจำนวนนี้มาได้อย่างไร และมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ ที่เข้าไปตรวจสอบ เพราได้รับแจ้งจากผู้เสียหายซึ่งตนก็นึกว่าถูกปล้นจริงๆ ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แต่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และมีการถ่ายรูปในที่เกตุเหตุไว้หมด แต่เราไม่มีอำนาจไปรื้อค้นบ้าน ตรวจสอบได้แต่ของกลางและทรัพย์สินที่เสียหายเท่านั้น เพราะหากทรัพย์สินอื่นสูญหายเราก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจากคำให้การและหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่า ยังมีกระเป๋าอีก 3 ใบในที่เกิดเหตุ ซึ่งคนร้ายได้เอาไป 1 ใบ และจากการสืบสวนคนร้าย ให้การว่า กระเป๋าในนั้นมีจำนวนเงินประมาณ 20 ล้านบาท และยังมีอีก 2 ใบใหญ่ ที่ไม่ได้ถูกรื้อค้น ซึ่งก็คาดการณ์ว่าน่าจะมีเงินในปริมาณเท่าๆ กัน และในตอนแรกเราก็ไม่พบพิรุธ เพราะมีการแจ้งว่าถูกปล้นไป 7 แสนบาท แต่พอมาเพิ่มยอดทีหลังจึงรู้สึกว่าผิดปกติ ยืนยันว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความเป็นธรรม และทำงานไปตามระบบ เราไม่สามารถเบี่ยงเบนคดีได้ ส่วนจะมีการนำเงินไปยัดในภายหลังหรือไม่ คนพวกนี้ไม่มีปัญญาทำ ส่วนเงินของกลางที่อยู่กับนายโก้ คาดว่าขนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อดูจากเจตนาแล้ว ถ้านายสุพจน์กลับมาบ้าน และได้สำรวจทรัพย์สิน และหลักฐานที่คนร้ายรื้อคนในบ้าน ตนเชื่อว่าจะไม่มีการแจ้งความแน่นอน แต่ขณะนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนร้ายมุ่งที่จะมาเอาเงินในส่วนนี้ เมื่อได้รับแจ้งจากคนใช้ที่โทรศัพท์บอกก็ต้องนึกถึงตำรวจไว้ก่อน แต่คงไม่คิดว่าจะเป็นเงินส่วนนี้
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่า ทางเจ้าพนักงานสอบสวนได้รอบรวมพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน ในหลายส่วน แต่ที่ยังไม่ตรงคือ ยอดของทรัพย์สิน เพราะผู้เสียหายไม่ได้ให้ข้อเท็จจริง ทางตำรวจจึงต้องสืบเอาจากพยานหลักฐานแวดล้อม และปากคำผู้ต้องหา ซึ่งกรณีนี้ผู้เสียหาย อาจมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้ แต่ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสอบสวนกันอยู่ ทางตำรวจก็ได้ประสานไปยัง ปปง.และ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการในส่วนที่ตำรวจไม่ได้มีอำนาจ