รองโฆษก “ปูแดง” ตวัดลิ้น ป้อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษต้องเป็นเรื่องลับ กันผู้ต้องขังก่อจลาจล เย้ยกลุ่มต้าน“จั่วลม” เป็นพวกขาประจำ มั่วป้ายสี “สนธิ” หวังจุดกระแสเสียบปลั๊ก “เอเอสทีวี” ทั้งที่จอติดนานแล้ว โมเมอีกเป็นขบวนการโค่นล้มรัฐบาล เรียกร้องสังคมออกมาขับไล่บ้าง ครวญ “นายใหญ่” ไม่ใช่นักย่องเบา แต่เป็นเจ้าทรัพย์ จะกลับมาล้างบ้านหลังน้ำท่วม
วันนี้ (22 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด นักจัดรายการทีวีคนเสื้อแดงและโฆษกเวทีชุมนุม นปช.ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ... ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศว่า ผู้ที่ออกมาคัดค้านโดยที่ยังไม่เห็นรายละเอียด ถือว่าไม่รู้จริง เพราะการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวาระเกี่ยวกับ พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ นั้น ไม่ว่ารัฐบาลไหนพิจารณาเรื่องนี้ก็เป็นการประชุมลับ เพราะในทุกวโรกาสสำคัญ บรรดาผู้ต้องโทษในเรือนจำล้วนมีความหวังว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ทุกคนต้องเงี่ยหูคอยฟังเงื่อนไข จึงต้องทำอย่างเป็นความลับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ เช่น หากข่าวรั่วว่านักโทษบางประเภทถูกตัดออกจากบัญชี ย่อมเกิดความไม่พอใจ นำมาสู่การก่อจลาจลในเรือนจำได้
“พวกที่ออกมาค้านเหมือนออกมาปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ ภาษามวยเขาเรียกจั่วลมซะหัวคะมำ ทำเป็นอวดรู้ ฮุบเบ็ดทันที ทั้งที่ไม่มีใครยืนยันว่าเนื้อหาจริงๆ เป็นเช่นไร แล้วก็พยายามปลุกม็อบปั่นกระแสตื่นตูม สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง อยากถามว่าเมื่อออกมากันขนาดนี้แล้วจะลงกันยังไง” นายอนุสรณ์กล่าวอ้าง
นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า ความจริงก็ไม่ถือว่าออกมาต้านแบบจัดหนักอะไร เพราะล้วนมาจากขาประจำหน้าสลอนเลยทั้งนั้น นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ที่มอบหมายรองโฆษกพรรค ไปยังพระบรมมหาราชวัง ที่ตั้งสำนักราชเลขาธิการ เพื่อยื่นหนังสือค้าน ตามติดด้วยเสียงคำรามจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กะจะเสียบปลั๊กเอเอสทีวีที่จอดับให้ติดขึ้นมาใหม่ในคราวนี้ (ขณะที่ข้อเท็จจริง เอเอสทีวีแพร่ภาพผ่านดาวเทียมได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.54 แล้ว) ด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสี ก็ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อคัดค้าน แล้วยังมีกลุ่มสยามสามัคคี นายแก้วสรร อติโพธิ รวมไปถึงในโลกไซเบอร์ ตั้งเฟซบุ๊กต่อต้านกันใหญ่ ปฏิบัติการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า กระบวนการฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมาเจอกัน หวังจะโค่นล้มรัฐบาลมีอยู่จริง วันนี้ไม่ต้องเหนียมกันแล้ว ยอมรับได้แล้วว่าหวังจะกินตามน้ำ ออกมาตะโกนรับลูกกันเสียงหลงจากต้นซอยถึงท้ายซอย อาการคล้ายๆ กับอะไรซักอย่างตอนกลางคืน เวลาเห็นใบไม้ไหว หรือมีอะไรผ่านมาก็ส่งเสียงกันขรม รับส่งต่อกันเป็นทอดๆ ทั้งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“ครั้งนี้สังคมต้องลุกขึ้นมาไล่พวกนี้ซะบ้าง ไม่ใช่จะส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายตามอำเภอใจ แล้วไม่ใช่เรื่องย่องเบาอะไร แต่เป็นเรื่องของเจ้าทรัพย์ที่แท้จริง ที่เขาจะแวะมาล้างบ้านหลังน้ำท่วม แต่น้ำยังสูง สิ่งปฏิกูลยังเยอะ ขวากหนามยังอีกมาก เลยเสียสละไม่เข้าไปดีกว่า” นายอนุสรณ์กล่าว
สำหรับการออก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ ครม.ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมเมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีพิรุธว่าจะมีการเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการอภัยโทษด้วย โดยให้เป็นวาระจรและเป็นการประชุมลับ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย อ้างว่าเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้เดินทางไป จ.สิงห์บุรีไม่สามารถบินในช่วงกลางคืนได้ ซึ่งภายหลังการประชุมมีกระแสข่าวว่า ร่าง พ.ร.ฎ.นี้อาจจะมีการตัดเงื่อนไขการยกเว้นการพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องขังคดียาเสพติดและคอร์รัปชั่น และเงื่อนไขการให้จำคุกก่อน เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีคุณสมบัติได้รับการพระราชทานอภัยโทษด้วย ซึ่งผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม แต่ไม่มีรัฐมนตรีคนใดให้รายละเอียด โดยอ้างว่าเป็นความลับ จนกระทั่งมีเสียงคัดค้านมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้นัดชุมนุมคัดค้านการออก พ.ร.ฎ.ที่จะเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. และเช้าวันที่ 20 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เขียนจดหมายเปิดผนึกว่า รัฐบาลจะไม่ออก พ.ร.ฎ.เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตน หลังจากนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมได้เปิดโต๊ะแถลงข่าวว่า ร่าง พ.ร.ฎ.ที่จะออกมา เป็นร่างเดิมที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำไว้ โดยไม่มีการตัดเงื่อนไขใดๆ ออก และยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.นี้ สรุปแล้วรัฐบาลปล่อยให้เรื่องนี้เป็นที่สงสัยของสังคมเป็นเวลารวมเวลากว่า 5 วัน จึงยอมแถลงถึงความชัดเจนในเรื่องนี้ หลังจากที่กระแสคัดค้านมีมากขึ้นเรื่อยๆ
กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณยอมถอยดังกล่าว นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เปรียบเปรียบว่า เหมือนนักย่องเบาที่จะเข้าไปขโมยทรัพย์สิน เมื่อเจ้าของรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็โยนของที่ขโมยทิ้งไป เพื่อจะให้ตัวเองพ้นจากความผิด