“ประชา” เผยนำร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ ขึ้นทูลเกล้าฯ วันนี้ เอาเกียรติเป็นประกันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน อ้างเป็นราชองครักษ์พิเศษ มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชี้ที่เกิดปัญหาเพราะคิดมากกันไปเอง
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม กล่าวหลังรับหนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ เอื้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จาก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนหลากสี ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เตรียมจะนำร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ ขึ้นทูลเกล้าฯ วันนี้ (22 พ.ย.) ยืนยันว่าร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวไม่มีการตัดเนื้อหามาตรา 4 และไม่มีการกระทำการใดๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างแน่นอน โดยขอเอาตำแหน่งเป็นประกัน ทุกอย่างเป็นตามขั้นตอนในวโรกาสพิเศษเหมือนปี 2547 และ ปี 2553 ผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือ ผู้ต้องขัง 2.6 หมื่นคน โดยไม่มีการตัดส่วนแนบท้ายเรื่องฐานความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และการคอรัปชันออกแน่นอน ฉะนั้นไม่มีส่วนใดที่เสียหายหรือเอื้อประโยชน์ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
“ถ้าผมพอมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีที่พอเชื่อถือได้ ก็ขอให้เอาเกียรติศักดิ์ศรีและตำแหน่งเป็นประกัน ไม่ได้ทำให้เสียหาย ขอให้สบายใจ เราทุกคนอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ผมเองขณะนี้ยังเป็นราชองครักษ์พิเศษอยู่ ยังไม่พ้นตำแหน่งแต่อย่างใด ฉะนั้นความจงรักภักดีของผมนั้นมีเช่นเดียวกับพี่น้องชาวไทยทุกคน” พล.ต.อ.ประชากล่าว
พล.ต.อ.ประชากล่าวว่า วันนี้ขั้นตอนจะดำเนินสู่การนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ทุกอย่างถือว่าจบแล้ว พ.ร.ฎ.จะได้ทันในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยเนื้อหาได้ ถือว่ายังอยู่ในชั้นความลับ แต่ยืนยันเนื้อหาไม่มีอะไรผิดสังเกต หรือทำให้แตกแยกกัน
“ก็พูดกันไปเอง ทำไมไม่มาถามผม คนยกร่างฯ เรื่องนี้คิดมากกันไปเองก็เลยเป็นเรื่อง” พล.ต.อ.ประชากล่าว และย้ำว่า เนื้อหาสาระของพระราชกฤษฎีกาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่มีผลให้เกิดความแตกแยกในสังคม
ส่วนการถวายฎีกา 3 ล้านคนของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบ คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานให้เกิดความรอบคอบ
พล.ต.อ.ประชากล่าวว่า สาเหตุที่วันนี้ออกมาพูดเรื่องนี้ เนื่องจาก นพ.ตุลย์มายื่นหนังสือคัดค้านการออกกฎหมายดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ตุลย์ยังได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าจดหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการแสดงอย่างชัดแจ้งว่าไม่เคยสำนึกในความผิดที่ได้กระทำในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2544 ทั้งการปรับเปลี่ยนกระทรวง ทบวง กรม และแก้ไขสัมปทานต่างๆ มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารตำแหน่งต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างมหาศาล จนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษายึดทรัพย์ไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท
“คุณยังไม่เคยยอมรับว่าตนเองได้กระทำการทุจริตต่างๆ มีการก่อตั้งกลุ่มคนเสื้อแดงมาสนับสนุน ชุมนุมด้วยความรุนแรงก่อความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสต่อประชาชนทั่วไป โดยคุณให้การสนับสนุนเร่งเร้าให้เกิดความรุนแรง เพียงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
จนล่าสุดน้องสาวได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่แม้จะพยายามปฏิเสธว่าไม่คิดทำเพื่อคนคนเดียว แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็ไม่สนใจในความทุกข์ยากของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากมหาอุทกภัย กลับมีความพยายามช่วยเหลือให้กลับสู่เมืองไทย โดยไม่ต้องถูกจำคุก ไม่ว่าจะเป็นการถวายฎีกา 3 ล้านรายชื่อ พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พระราชบัญญัติล้างมลทิน และพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
“คุณจะต้องแสดงออกถึงการสำนึกผิด โดยการกลับสู่เมืองไทยรับโทษที่ถูกพิพากษาไว้แล้ว และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีที่เหลืออยู่ พร้อมทั้งกำราบคนของคุณให้ยุติความรุนแรงและการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย เพียงเท่านี้ผมก็พร้อมจะ “Forgive & Forget” ความผิดของคุณ” นพ.ตุลย์ระบุ