ผ่าประเด็นร้อน
การเมืองในรอบสัปดาห์นี้ต้องติดตามต่อไปกับเรื่องการคัดค้านการออกพระราชกฤษฏีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ…ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในเวลานี้
เพราะมีทั้งกลุ่มหนุนและคัดค้านกำลังจะออกมาเผชิญหน้ากัน
พลังศีลธรรมทางสังคมออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีเจตนารมณ์เพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลที่ใช้วิธีการ ปกปิด-อำพราง ทำปกปิดซ่อนเร้น ออกมาชี้แจงแถลงไขเรื่องนี้ให้ชัด ว่ามีการแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษโดยไม่ต้องติดคุก และยกเลิกความผิดต้องห้ามในคดีคว่ามผิดทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็แถไปต่างๆ นานา เมื่อไม่ยอมชี้แจงเช่นนี้ก็ต้องเตรียมรับมือกับพลังกดดันจากสังคมต่อไป
หลายวันที่ผ่าน เป็ดเหลิม-เฉลิม อยู่บำรุง ที่รับใช้ทักษิณ ชินวัตร เต็มเหนี่ยวในเรื่องนี้ ออกมาทำปากแข็งท่องสูตร ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนส่วนใหญ่เห็นหมดแล้วว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ก็คือการหาช่องทางช่วยทักษิณกลับไทย แม้อาจจะต้องติดคุกก็อาจติดแค่วันเดียว แถมเป็นคุกวีไอพีไม่ต้องปะปนอยู่กับใคร ที่บางเขนที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว
ที่น่าสมเวชมากก็คือ ความพยายาม ช่วยทักษิณของ “เป็ดเหลิม” เจ้าของวาทะ “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม” ซึ่งพยายามบิดเบือนทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณตลอดเวลาถึงขั้นอุ้มนักโทษหนีคดีทักษิณกลางสภาฯว่าคดีทักษิณเป็นคดีการเมือง ไม่ใช่คดีทุจริตเพราะคดีทุจริตต้องมีการแสวงหาผลประโยชน์
ทั้งที่ผู้คนทั้งประเทศก็รู้กันดีว่า การจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ มีเบื้องหลังที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์และขั้นตอนคดีก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติ คือมีการส่งเรื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ก็เป็นเสมือนกับ ป.ป.ช.ส่งการสอบสวนไปที่อัยการสูงสุด จากนั้นก็ฟ้องไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทักษิณกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ก็สู้คดีในฐานะจำเลย มีการไต่สวนคดีศาลเปิดโอกาสให้พยานทั้งสองฝ่ายมาเบิกความต่อสู้คดีกันจนสิ้นกระแสความ จนศาลตัดสินยกฟ้องคุณหญิงพจมาน แต่ตัดสินจำคุกทักษิณ 2 ปีในความผิดตามมาตรา 100 และมาตรา 122 ของ พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 ที่ออกตั้งแต่ทักษิณยังไม่ได้ตั้งพรรคไทยรักไทยและยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากศาลไม่มีความยุติธรรม แล้วทำไมจึงยกฟ้องคุณหญิงพจมาน จึงแสดงให้เห็นว่า ศาลตัดสินไปตามตัวบทกฎหมายไม่ได้จ้องจะทำลายลายทุกอย่างที่เกี่ยวกับทักษิณ คดีทักษิณจึงเป็นคดีทุจริตคอรัปชั่นที่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง
ส่วนประเด็นที่ศาลแพ่ง มีคำสั่งให้การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะ ก็เพราะเป็นการซื้อขายที่ดินโดยมิชอบ มีการใช้อำนาจการเมืองทำให้การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อคุณหญิงพจมาน ในฐานะภริยานายกรัฐมนตรีในเวลานั้น
ทำให้รัฐคือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเสียหาย ศาลจึงมีคำสั่งให้การซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะเสมือนไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น ที่ดินจึงกลับไปเป็นของรัฐ
ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากเมื่อมีการประมูลซื้อขายที่ดินกันใหม่ ก็มีการประมูลซื้อขายกันในราคาเกือบ 1,800 ล้านบาท ที่มากกว่าที่คุณหญิงพจมานซื้อไปคือ 774 ล้านบาทเกือบเท่าตัวทั้งที่เป็นที่ดินผืนเดียวกัน จึงทำให้รัฐได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากการตัดสินของศาลแพ่ง
“เป็ดเหลิม” จึงควรเลิก ทำตัวเป็นขี้ข้าทักษิณ ด้วยการพูดเท็จบิดเบือนความจริงได้แล้ว
ตอนนี้ก็ต้องดูว่ารัฐบาลจะดื้อดึงช่วยทักษิณให้สำเร็จต่อไปอย่างไร จะไม่สนใจกระแสคัดค้านของมวลชนกันเลยใช่หรือไม่ หรือเพราะคิดว่า ประชาชนเลือกมา 15 ล้านเสียง ได้ ส.ส.265 คน นี่คือ มติมหาประชาชนแล้ว ที่จะทำได้ทุกอย่างเพื่อช่วยคนๆเดียว แม้ว่าจะออกกฎหมายโดยมิชอบซึ่งเป็นการทำลายระบบนิติธรรม-นิติรัฐให้พังไปก็ทำได้ ก็ต้องดูกันต่อไป
ตอนนี้รัฐบาลแสดงท่าทีไม่ยอมรับฟังกระแสคัดค้านของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ที่กำลังจะออกมาต่อต้านการอภัยโทษให้กับทักษิณ พร้อมกันนี้ก็เห็นว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังเดินเกมปลุกปั่นให้ “คนเสื้อแดง” ทั่วประเทศ ออกมาสนับสนุนรัฐบาล
เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของพวก ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำนปช.ในหลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคอีสานที่เริ่มเคลื่อนไหวระดมพลกันแล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น มุกดาหาร ที่แดงหลายร้อยคนจากหลายอำเภอไปรวมตัวกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเพื่อสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ
เช่นเดียวกับเสื้อแดงขอนแก่นก็เริ่มขยับกันแล้ว มีการนัดรวมตัวกันในจังหวัด หรือแดงภาคกลางอย่าง แดงปากน้ำ สมุทรปราการ ก็มีการปลุกคนเสื้อแดงให้สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวิทยุชุมชนกันแล้วเช่นกัน
น่าเกลียดมากหน่อยก็พวก เสื้อแดงที่หวังใช้โอกาสนี้ เคาะราคา หาเงิน เข้ากระเป๋า จัดตั้งม็อบมาปกป้องทักษิณ เพื่อหวังท่อน้ำเลี้ยงจากทักษิณและคนในรัฐบาล
เช่นที่กำลังคิดจะทำอย่าง ขวัญชัย ไพรพนา ที่แม้จะพยายามปรับแนวทางสร้างกลุ่มแดงรักเจ้า แต่ก็คือพวกรับใช้ทักษิณ ตอนนี้ก็ออกมาพูดจาข่มขู่ประชาชนว่า หากกลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มพันธมิตรฯ ยังเคลื่อนไหวไม่เลิก จะนำมวลชนเสื้อแดงอีสานออกมาแสดงบ้าง พร้อมขู่จะให้นองเลือด!!
ดูแล้วสถานการณ์หลังจากนี้ ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีใครฉกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะ พวกหวังสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
คงยังไม่ลืม การลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงสถานการณ์การเมืองไม่เป็นผลดีต่อระบอบทักษิณ อาทิ ช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี-ช่วงการชุมนุมของพันธมิตรฯ ขับไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ที่สร้างความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ยิ่งตอนนี้ จะหวังพึ่งพาผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ก็ไม่รู้จะเกียร์ว่างหรือเปล่า เพราะวงการสีกากีวันนี้ เป็น “รัฐตำรวจ” ของระบอบทักษิณไปแล้ว ด้วยที่ตัวผบ.ตร.อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็พี่ชายพจมาน ณ ป้อมเพชร ส่วนว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ก็หลานเขยทักษิณ
จึงคาดได้ว่า ตำรวจอาจไม่เต็มที่ในการดูแลสถานการณ์ โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัยให้กับกลุ่มประชาชนที่จะออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ ยิ่งหากผู้นำสีกากีไปยักคิ้วหลิ่วตาให้เสื้อแดงออกมาใช้กำลังรุนแรงเพื่อเผชิญหน้ากับประชาชนที่ออกมารวมพลังกัน สถานการณ์ก็อาจบานปลายได้
ทางที่ดีกองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ควรติดตามสถานการณ์ให้ใกล้ชิด เช่นการช่วยตำรวจดูแลสถานการณ์อย่าให้มีเหตุแทรกซ้อน ต้องป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานการณ์มาสร้างเหตุรุนแรงขึ้น เพื่อหวังสกัดไม่ให้คนออกมาต่อต้านรัฐบาล
เพราะสถานการณ์บ้านเมืองต่อจากนี้ สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้า อาจจะมีความรุนแรงเช่นเหตุระเบิดหรือลอบยิงในที่ชุมนุมเกิดขึ้น ทำให้ชีวิตคนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของฝ่ายที่อำมหิต ซึ่งรู้กันดีว่ามีทั้งมวลชนและกองกำลังติดอาวุธเป็นกำลังอยู่มือพร้อมจะปฏิบัติการตามคำสั่งทุกเวลา
การช่วยดูแลสถานการณ์ของทหารจึงมีความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและชีวิตของคนบริสุทธิ์ในยามที่ไม่อาจไว้วางใจ “ตำรวจมะเขือเทศ” ได้
แต่ผู้นำกองทัพก็ไม่ต้องเส้นตื้นทำเป็นกลัวว่าถ้าออกมาช่วยดูแลประชาชน คนจะคิดว่าทหารจะทำรัฐประหาร หรืออาศัยโอกาสคิดล้มรัฐบาล แล้วหาข้ออ้างว่ากฎหมายไม่ให้อำนาจ เลยตั้งหลักอยู่ในกองทัพ อย่างนี้ประชาชนก็ตกอยู่ในห้วงอันตรายแน่