“น้ำที่ทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางชัน เป็นน้ำที่เอ่อจากท่อระบายน้ำ ไม่ใช่น้ำที่ไหลจากคลองสามวา”
คำกล่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประเมินสถานการณ์สุ่มเสี่ยงจมน้ำของนิคมอุตสาหกรรมบางชัน เป็นอีกหนึ่งดัชนี้วัดมวลสมองของคนเป็นผู้นำประเทศว่า
ประชาชนจะพึ่งพาให้เธอบริหารบ้านเมืองต่อไปได้หรือไม่?
ยิ่งลักษณ์ ไม่รู้จริงๆ หรือว่า หลังจากยอมให้เปิดประตูน้ำคลองสามวา 1 เมตร ตามแรงกดดันของมวลชนที่ วิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง จะมีพื้นที่ไหนได้รับผลกระทบบ้าง
นายกฯ หญิงซื่อจนไม่รู้เลยหรือว่า เส้นทางน้ำไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในคลอง บนผิวถนนที่เห็นชัดด้วยสายตาเท่านั้น แต่ยังมุดลงใต้ดินโผล่ตามท่อระบายน้ำด้วย!!
นายกฯ ปูพูดถูกว่าน้ำเอ่อจากท่อระบายน้ำเข้านิคมบางชัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมันออกจากท่อระบายน้ำ ต้นทางของน้ำจึงไม่ได้มาจากคลองสามวา
คิดได้ยังไง เป็นตรรกะที่น่าจะเป็นต้นทางความล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์น้ำท่วม จนประเทศชาติใกล้ล้มละลายเต็มทน
ถ้าคนเป็นนายกรัฐมนตรีคิดว่าน้ำในนิคมอุตสาหกรรมไม่ได้มาจากคลองสามวา แต่ออกมาจากท่อระบายน้ำ คำถาม คือ แล้วท่อระบายน้ำมันไปขนน้ำมาจากไหนล่ะ หรือว่ามันมีตาน้ำใต้ท่อ วันดีคืนร้ายก็ผุดน้ำขึ้นมาให้ผู้บริหารนิคมเขาอกสั่นขวัญแขวนเล่นๆ
แน่นอนว่า แม้แต่ รปภ.ของนิคมฯ ก็คงตอบคำถามได้ดีกว่า ศปภ.ว่า ท่อระบายน้ำไม่ได้มีตาน้้ำที่จะให้กำเนิดมวลน้ำใหม่ด้วยตัวเอง เพราะน้ำที่ทะลักเข้านิคมบางชันนั้น ก็มาจากความห่วยแตกของคนเป็นผู้นำส่งน้ำกว้าง 1 เมตร ผ่านคลองสามวาไปเป็นของขวัญที่นิคมบางชันไม่พึงประสงค์นั่นแหละ
รู้ทั้งรู้ว่า ทำเช่นนั้นแล้วจะกระทบภาพใหญ่ในการบริหารจัดการน้ำ แต่ยิ่งลักษณ์ก็ตัดสินใจแบบง่ายๆ เอาใจฐานเสียงตามใจ ส.ส. ปล่อย กทม.ชั้นในและนิคมบางชันไปตายเอาดาบหน้า
แถมยังตีหน้าซื่อ ตั้งกรรมการขึ้นมาบริหารน้ำหลังเปิดประตูอ้าซ่าที่ 1 เมตร อ้างว่าตั้งขึ้นมาเพื่อดูผลกระทบ
เอากับความคิดของเธอสิ!
มีผู้นำประเทศไหนบ้างที่เขาตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่อาจกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ โดยไม่มีข้อมูลเรื่องผลกระทบ คงมีแต่บ้านนี้เมืองนี้ที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ความจริงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รู้อยู่เต็มอกว่า การใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีของตัวเองจะส่งผลกระทบในวงกว้างเพียงใด จึงร้อนรนตั้งกรรมการมาแก้ไขสถานการณ์ในวันรุ่งขึ้น ได้ข้อสรุปให้ลดบานประตูลงมาที่ 80 เซ็นติเมตร ระยะเดียวกับที่ กทม.เขาตกลงกับชาวบ้านในระยะปลอดภัยที่จะไม่กระทบกับ กทม.ชั้นในมากจนเกินไปนั่นแหละ
คำถาม คือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะรับผิดชอบอย่างไรกับน้ำที่ทะลักล้นเข้าท่วมตลาดมีนบุรี ซาฟารีเวิล์ด และอีกหลายสถานที่เพียงชั่วเวลาข้ามคืน
จากการตัดสินใจอันผิดพลาดโดยแท้ของคนเป็นผู้นำประเทศ
จริงอยู่ประตูระบายน้ำคลองสามวาลดระดับลงแล้ว แต่มวลน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาไม่ยอมลดระดับลงด้วย และกำลังแผ่ขยายกินวงกว้างสร้างความเดือดร้อนกับประชาชนมากขึ้น
พิจารณาผ่านเหตุการณ์นี้ วิญญูชนก็คงได้คำตอบแล้วว่า มหาอุทกภัยที่กลายเป็นโศกนาฏกรรมมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 450 คน เป็นเพราะภัยธรรมชาติ หรือเกิดจากความไร้ฝีมือของ โคลนนิ่ง ทักษิณ ชินวัตร กันแน่
ยิ่งขุดคุ้ยไปถึงต้นตอของมวลน้ำมหาศาล ก็จะยิ่งเห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ เนื่องจากคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางการเมือง
ข้อกล่าวหาที่ คนเสื้อแดงและรัฐบาลอาศัยชื่อสองเขื่อนใหญ่ของประเทศมากระทบชิ่งถึงสถาบันหลักของชาติว่า เป็นน้ำจากฟ้าส่งมาจมไพร่
เป็นฝีมืออำมาตย์ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์วางแผนปล่อยน้ำท่วมล้มรัฐบาลเพื่อไทย กลายเป็นบูมเมอแรงย้อนศรกับไปทิ่มแทงประจานความล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้มากขึ้น
จากกราฟที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาแสดง สะท้อนชัดว่า ปริมาณน้ำในสองเขื่อนใหญ่ทั้งเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิตต์ ไต่ระดับสูงปรี๊ดในยุคที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สอดรับกับข้อมูลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่เพิ่งออกโรงมาอธิบายถึงการระบายน้ำในเขื่อนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า ปริมาณน้ำเริ่มเกินความจุของเขื่อนจนต้องเร่งระบายมวลน้ำมหาศาลเกิดในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน กระทั่งกว่า 50 จังหวัดของประเทศไทยต้องจมอยู่ใต้บาดาล โดยมีอีกหายจังหวัดรอต่อคิวเป็นเหยื่อรายต่อไป
ที่สำคัญคือ มีหลักฐานเป็นใบเสร็จมัดแน่นหนาว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ ทั้งชุดต้องรับผิดชอบกับการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด เพราะมีคำให้สัมภาษณ์ชัดเจนของ ธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตร พูดถึงการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยเมื่อว้นที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาว่า
“ได้สั่งการให้กรมชลประทานประสานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ลดการระบายน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล รวมถึงทำการหน่วงน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้ไหลผ่านเกิน 2,390 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เพื่อให้ชาวนาในพื้นที่เขตลุ่มเจ้าพระยาเก็บเกี่ยวข้าวได้เสร็จในช่วงนี้ เนื่องจากการคาดการณ์สภาพอากาศที่จะเกิดฝนตกหนักลงมาอีกในระยะนี้ประกอบกับ 1-2 วันที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกชุกในพื้นที่ดังกล่าว”
ข้อความข้างต้นมิได้เป็นเพียงความเห็นของ รมว.เกษตรฯ แต่สะท้อนถึงนโยบายภาพรวมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับการเก็บเกี่ยวข้าว จนยอมให้เขื่อนอยู่ในความเสี่ยงทั้งที่รู้ล่วงหน้าว่า ปริมาณน้ำฝนจะมากและอาจสูงเกินกว่าที่เขื่อนจะรับไหว ซึ่งสุดท้ายก็ต้องระบายออกมาเพื่อไม่ให้เขื่อนแตก แต่รัฐบาลก็มิได้นำพา
แล้วยังกล้าโทษฟ้า กล่าวหาพระแม่ธรณี อย่างไม่มีสำนึก
เสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทนของคนไทยกว่า 20 ล้านคน และวิญญาณของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติที่ต้องสังเวยไปกับน้ำการเมืองครั้งนี้จะตามหลอกหลอน ครม.ทั้งชุดไม่ให้ได้ผุดได้เกิดทางการเมืองอีก
บาปกรรมมีจริง ใครทำคนไทยจมน้ำ อย่าหวังว่าจะสำลักความสุขหลังน้ำลดได้ เพราะกรรมได้ส่งน้ำตามไล่ล่าเพื่อกวาดล้างความชั่วให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินนี้
จนหมดโอกาสวางมาสเตอร์แพลนประเทศ สร้างนิวไทยแลนด์ ที่อยากสวาปามงบประมาณจนไม่เคยคิดนั่งเรือออกเยี่ยมชาวบ้าน