ผ่าประเด็นร้อน
หากบอกว่าวิกฤตน้ำท่วมคราวนี้หนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว เพราะสร้างความเสียหายไปเกือบทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 20 จังหวัดยังอยู่ในสภาวะน้ำท่วม และที่สำคัญพื้นที่ประสบความเสียหายยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่เขตเมืองชั้นใน พื้นที่เขตเศรษฐกิจ และโรงงานอุตสาหกรรม มีมูลค่าความเสียหายที่ประเมินได้เบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาท และบางพื้นที่น้ำยังทะลักเข้ามา ยังเสี่ยงต่อความสูญเสียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท้ายน้ำ คือ ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
ขณะเดียวกัน ถ้าตั้งคำถามว่ามีความพอใจกับมาตรการป้องกันแก้ปัญหาของรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียงใด คำตอบก็น่าจะตรงกันก็คือ “ห่วยแตก” พึ่งพาอะไรไม่ได้ แม้ว่างานนี้จะรู้ว่าปริมาณที่ไหลทะลักลงมามีมากมหาศาลเพียงใด แต่การตั้งรับเต็มไปด้วยความโกลาหลและฉุกละหุก ไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ ลักษณะจึงออกมาในแบบใช้การตลาดแบบการเมืองเพื่อสร้างภาพ ผลที่ออกมาจึงเสียหาย เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าอย่างที่เห็น
ที่น่าสังเกตก็คือ ระดับน้ำแม้จะลดลงมาบ้าง แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่บริเวณท้ายน้ำตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพมหานครยังรับน้ำที่ไหลบ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ยังต้องลุ้นกันอยู่ตลอดเวลาว่าจะรับมือดีเพียงใด ยังมีนิคมอุตสาหกรรมอีกกี่แห่งจะต้องจมน้ำเพิ่มขึ้นมาอีกหรือไม่
อย่างไรก็ดี เมื่อตัดภาพมองข้ามไปพิจารณาสถานการณ์หลังน้ำลดว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง บรรยากาศหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
สิ่งแรกก็คือ การขาดรายได้ เนื่องจากน้ำท่วมขังทำให้แหล่งทำมาหากิน ไร่นา รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจนต้องปิดตัวลง หากกล่าวถึงกรณีไร่นาที่เสียหายนับล้านไร่ทำให้เกษตรกรต้องหมดเนื้อหมดตัว โอกาสที่จะนำข้าวไปจำนำในโครงการของรัฐบาลก็ทำไม่ได้ หรือถ้ามีก็เป็นข้าวด้อยคุณภาพความชื้นสูง และคงไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแน่นอน
ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมก็ต้องตกงานทันที ในเวลานี้ถ้าพิจารณากันเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม 3-4 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ต้องปิดกิจการอย่างสิ้นเชิงทำให้คนงานตกงานไม่น้อยกว่า 2 แสนคน นี่ยังไม่นับนิคมอุตสาหกรรมนวนครที่กำลังลุ้นกันอยู่ว่าจะรอดหรือไม่ เพราะถ้าไม่รอด นั่นย่อมหมายความว่าอีกไม่น้อยกว่า 2 แสนคนก็ต้องอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ดังนั้นนาทีนี้ก็ได้แต่เอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ให้สามารถป้องกันน้ำได้สำเร็จด้วยเถิด
นอกจากนี้ เมื่อพื้นที่เพาะปลูก ไร่นา โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือนถูกน้ำท่วม มันก็ทำให้ขาดรายได้ มีผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ ขณะเดียวกันรับรองว่าจะต้องเกิดปัญหา “ข้าวยากหมากแพง” และผลที่ตามมาอีกเรื่องหนึ่งเป็นสูตรสำเร็จก็คือปัญหา “ลักวิ่งชิงปล้น” มีคดีเกิดขึ้นมากมาย
ปัญหาดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะชาวบ้านสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องตกงาน ขณะที่อีกด้านหนึ่งเมื่อหันมาพิจารณาตลาดส่งออกหลักของไทยที่เคยพึ่งพามานานนับสิบปี อย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป ต่างก็ตกอยู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเอาตัวไม่รอด ทำให้กำลังซื้อหดหาย นักท่องเที่ยวที่เคยเข้ามาสร้างรายได้ก็ต้องหดหายไป ทุกอย่างตีบตันไปหมด
เมื่อวกเข้ามาพิจารณาในประเด็นสำคัญที่สุดอย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นก็คือเราสามารถมั่นใจกับฝีมือของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แค่ไหน ก็ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีความเชื่อมั่นได้เลยแม้แต่น้อย หากพิสูจน์ได้จากมาตรการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจบรรเทาความเสียหายได้ บรรยากาศที่เกิดเหมือนกับว่าถึงเวลาระดับน้ำก็จะลดลงไปเอง เหมือนกับว่าแต่ละวันเราต้องลุ้นให้น้ำผ่านไป หรือลุ้นให้ฝนไม่ตกลงมาเพิ่มเท่านั้น
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดรับรองว่าไม่ใช่ลักษณะ “ตีตนไปก่อนไข้” หรือมองโลกในแง่ร้าย รวมถึงเป็นการพูดแบบเขย่าขวัญเพิ่มความเครียดมากขึ้นไปอีก เพราะมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ ประกอบกับเมื่อประเมินความผลงานของรัฐบาล ฝีมือผู้นำอย่างที่เป็นอยู่ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องทำนายเหตุการณ์ร้ายๆ ล่วงหน้าไว้แบบนี้เอาไว้ก่อน และยิ่งพื้นที่ความเสียหายเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง จมน้ำยืดเยื้อไปอีกหลายเดือน โอกาสที่จะเกิดความโกลาหล แย่งชิงมากมายตามไปด้วย การปิดถนนประท้วงจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ดังนั้น เมื่อวิกฤตน้ำท่วมที่เป็นอยู่ในเวลานี้ถือว่ายังไม่ใช่สิ้นสุด เพราะยังมีวิกฤติยิ่งกว่าหลังจากน้ำลดลงไปแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ รับมือเอาไว้ให้พร้อม รับรองว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ หากเรายังมีรัฐบาลและผู้นำแบบนี้อยู่