xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ” ขวางข้อเสนอนิติเรด “สมเกียรติ” หมดหวังการเมืองระบบรัฐสภา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายพิภพ ธงไชย
แกนนำพันธมิตรฯ หนุนสร้างแนวทางปฏิรูปก่อนรื้อใหญ่ รธน. ชี้ข้อเสนอ “นิติเรด” ไม่นำพาแก้วิกฤติชาติ ย้ำห้ามแตะสถาบัน-นิรโทษฯ “นช.แม้ว” ด้าน “สมเกียรติ” หมดหวังการเมืองระบบรัฐสภา ชู “ปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย” ขณะที่ “ปานเทพ” หนุนถอดถอน อสส.ฐานเอื้อประโยชน์ตระกูลชินฯ เชียร์ ส.ส.เข้าชื่อง่ายกว่าภาค ปชช.เคลื่อนไหว

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "นายพิภพ ธงไชย" ให้สัมภาษณ์  

วันนี้ (7 ต.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 1 และ 2 อาทิพล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย และนายสำราญ รอดเพชร ร่วมกันแถลงข่าวในโอกาสครบรอบ 3 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค.51 โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ เป็นผู้อ่านแถลงการฉบับที่ 7/2554 เรื่อง “รำลึก 3 ปีวีรชน 193 วัน กับก้าวต่อไปของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มีสาระสำคัญในการรำลึกถึงผู้เข้าร่วมชุมนุมที่บาดเจ็บ และเสียชีวิต ในการร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ตลอด 193 วัน เมื่อปี 51 และประกาศจุดยืนที่จะสืบสานเจตนารมณ์ และความตั้งใจของพี่น้องประชาชนต่อไป รวมทั้งเรียกร้องขอความยุติธรรมจากรัฐบาลในการเยียวยาแนวร่วมพันธมิตรฯ ซึ่งเสียชีวิต 10 คน สูญเสียอวัยวะ 7 คน และบาดเจ็บอีกนับพันคน เช่นเดียวกับที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และให้คำนึงถึงความเท่าเทียมกันของคนในชาติ ไม่สร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้กับพรรคพวกตัวเอง อันจะนำไปสู่ความเกลียดชัง ความขัดแย้งและความแตกแยกของคนในชาติอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ทั้งนี้ แถลงการณ์ยังได้กล่าวสรุปผลจากการชุมนุมทั้ง 3 ครั้งของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ได้ผ่านการเมืองทุกฝ่ายในระบบแล้ว พบว่าต่างก็เป็นการเมืองที่ล้มเหลวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลระบอบทักษิณ รัฐบาลรัฐประหาร หรือรัฐบาลผสมนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนักการเมืองต่างช่วงชิงอำนาจมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง อีกทั้งยังอ่อนแอในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ขาดประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ พันธมิตรฯจึงขอประกาศจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองที่จะเคลื่อนมวลชนออกมาชุมนุมทันที เมื่อมีการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญา หรือรัฐบาลให้การสนับสนุน และสร้างขบวนการจาบจ้วงล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

“เราจึงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของคณะนิติราษฎร์ที่จะล้มเลิกคำพิพากษาของศาลฎีกาเพื่อช่วยนักโทษชายทักษิณให้ไม่ต้องรับผิดในการทำผิดกฎหมายของประเทศ” แถลงการณ์ ระบุ

ในส่วนของการเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการที่จะทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียอธิปไตย หรือแหล่งพลังงานของชาตินั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯจะใช้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแจ้งให้ประชาชนหรือองค์กรที่มีหน้าที่ได้ทราบและตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ควบคู่ไปกับการใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับขบวนการดังกล่าว โดยให้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของศาลซึ่งกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย และทหารซึ่งอยู่ภายใต้จอมทัพไทยเป็นผู้ตัดสินใจอนาคตของชาติต่อไป

กลุ่มพันธมิตรฯยังได้ประกาศสนับสนุนแนวทางการถอดถอนหรือการดำเนินคดีต่ออัยการสูงสุดกรณีที่ไม่ฎีกาคดีการหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นของ คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ และพี่ชาย ที่เป็นที่สงสัยของประชาชนได้ว่าอัยการสูงสุดไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติและช่วยเหลือคนในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ และพร้อมสนับสนุนและผลักดันการปฏิรูปการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ครั้งใหญ่ ร่วมกับทุกภาคส่วนด้วย

“ดังนั้น นับตั้งแต่วันนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินหน้าในการแสวงหาแนวร่วมและระดมความคิดในการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่รอบด้าน ตลอดจนเผยแพร่สร้างกระบวนการศึกษาและการเรียนรู้แนวทางใหม่ในการปฏิรูปประเทศเพื่อเปลี่ยนระบบการเมืองที่ล้มเหลว ให้เป็นระบบการเมืองซึ่งเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อย่างแท้จริง” แถลงการณ์ ระบุในช่วงท้าย

ขณะที่ นายพิภพ กล่าวเสริมว่า พันธมิตรฯสนับสนุนในการนำเนื้อหาการปฏิรูปไปใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากมีการเขียนขึ้น โดยสิ่งที่กล่าวในแถลงการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการเน้นย้ำจุดยืนเดิม ตั้งแต่ช่วงการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการโหวตโนว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองที่ล้มเหลว และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ พันธมิตรฯจึงพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมครั้งใหญ่ การเน้นในเรื่องนี้เป็นในทิศทางของสังคมโลก ที่ปรากฎการเมืองที่ล้มเหลว แม้ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศที่มีสถาบันการเมืองที่มั่นคงอย่างอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ความล้มเหลวมาจากการที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจายรายได้ในประเทศนั้นๆได้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน

“ที่ผ่านมา ทั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลับไม่ได้สนใจในการปฏิรูปประเทศและการเมือง แต่ไปเน้นในเรื่องประชานิยม พันธมิตรฯจึงจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อร่วมมือกับทุกภาคส่วนของประเทศในการแก้ไขวิกฤตที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า” นายพิภพ กล่าว

นายพิภพ กล่าวต่อว่า ย้อนไปเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 ได้มีกระแสให้เกิดการปฏิรูปจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น ก็มีการตั้ง นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานคณะกรรมการทำการวิจัยเพื่อการปฏิรูปประเทศและการเมือง จึงนำเนื้อหาทั้งหมดไปใส่ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 และขยายความให้เข้มข้นขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 50 แต่บางเรื่องก็ถอยหลัง ในส่วนของฉบับที่อาจจะมีการเขียนขึ้นใหม่นั้น ก็ผ่านการนำเสนอมาในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯในสมัยนั้นก็หลับเลือกแก้แค่ 2-3 มาตรา เพื่อหวังผลการเลือกตั้ง ทั้งที่มีการตั้งผู้หลักผู้ใหญ่เป็นคณะกรรมการปฏิรูป พอมาวันนี้การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงมีจุดมุ่งหมายไปสู่เรื่องสถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ในเรื่องเนื้อหาการปฏิรูป ไม่ได้มีกระแสปูพื้นมาเลย จึงคิดว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่มุ่งล้มล้างฉบับเก่าที่อ้างว่าเป็นผลมาจากการรัฐประหารและมีเนื้อหาในการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น จะไม่ได้เป็นการนำพาในการแก้ไขปัญหาของประเทศ

“หากจะเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมีการสร้างเนื้อหาการปฏิรูปก่อน ทั้งเรื่องการเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งต้องไม่แตะในเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่เราได้พูดบนเวทีในการชุมนุม 158 วันครั้งล่าสุด และสร้างการมีส่วนร่วมปฏิรูปประเทศผ่านการรณรงค์โหวตโน” นายพิภพ กล่าว

ด้าน นายสมเกียรติ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้การบริหารงานในระบบรัฐสภาเกิดปัญหาอย่างมาก ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างเห็นประโยชน์ส่วนตัว และยืนยันที่จะเดินหน้าด้วยการเมืองแบบเก่าๆต่อไป จึงเห็นว่ากระบวนการเมืองเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จึงไม่อาจรอเวลาได้ ขณะที่ขบวนการของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีการเปิดโรงเรียนประชาธิปไตย แต่กลับมีพฤติกรรมเหิมเกริม แสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อคนกลุ่มอื่น มีการตั้งหมู่บ้านเสื้แดง 800-900 หมู่บ้าน ที่สำคัญยังมีขบวนการล้มเจ้าที่มีทีท่าเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง จึงเป็นประเด็นที่พันธมิตรฯต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

“วันนี้เราเห็นนายกรัฐมนตรีพูดจาไม่รู้เรื่อง แสดงถึงการไม่พร้อมรับตำแหน่ง แต่ต้องทำตามคำสั่งแบบทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ รัฐสภาจึงไม่ใช่เวทีแก้ปัญหาของชาติ จำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปการเมืองขนานใหญ่ ที่ผมเรียกว่าการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย” นายสมเกียรติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯต่อการเคลื่อนไหวเพื่อให้เมีการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ชุดใหม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจว่า หากไม่มีการแก้ไขมาตรา 291 รัฐบาลสามารถใช้เสียงข้างมากแก้ไขได้เลย แต่การที่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการตั้ง ส.ส.ร.ก่อนทำประชามติ อย่างน้อยก็มีพัฒนาการขึ้นจากแนวคิดเมื่อปี 51 ที่พยายามใช้กระบวนการทางรัฐสภาแก้ไขตามที่ตัวเองต้องการ อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เพราะยังไม่แน่ชัดว่าจะมีบุคคลที่มีความจริงใจในการปฏิรูปการเมือง หรือต้องการรวบอำนาจให้กับระบอบทักษิณเข้ามาเป็น ส.ส.ร.หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรม หรือมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพระราชอำนาจ ก็จะเข้าเงื่อนไขที่พันธมิตรฯจะมีการเคลื่อนไหว

ส่วนกรณีการเข้าร่วมสรรหาเพื่อเป็น ส.ส.ร.หรือไม่นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ขณะนี้คงยังไม่สามารถตอบได้ เพราะกระบวนการสรรหายังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะที่บอกว่าจะมีนักวิชาการเข้ามาร่วมบางส่วน ตรงนี้จึงไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลมีเจตนาอย่างไร หากนำคนในคณะนิติราษฎร์เข้ามาก็ชัดเจนว่ารัฐบาลชะดนี้มีความคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือการยนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยังไม่ถึงสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจหรือวิจารณ์ใดๆ

ต่อข้อถามถึงท่าทีการร่วมสนับสนุนถอดถอนอัยการสูงสุด โฆษกพันธมิตรฯชี้แจงว่า เราเห็นด้วยกับกระบวนการไม่ว่านักการเมืองฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ตาม หากเป็นนักการเมืองที่ดีและตระหนักว่าการที่อัยการสูงสุดไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีขายหุ้นชินคอร์ปของคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ ที่มีลักษณะที่ผิดปกติ เนื่องจากศาลอาญาและศาลอุทธรณ์พิพากษาขัดแย้งกัน เทียบกับกรณีของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่อัยการอุทธรณ์สู้ต่อ จนกระทั่งได้ชัยชนะที่ศาลฎีกา ทั้งที่จำนวนเงินเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น ต่างจากจำนวนเงินมหาศาลของการเลี่ยงภาษีขายหุ้นชินคอร์ป

“เท่าที่ทราบตอนนี้มี ส.ส.บางกลุ่มจะเข้าชื่อในการถอดถอนอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยไม่ต้องเปลืองแรงประชาชน โดยเราถือว่าเห็นด้วยกับกระบวนการดังกล่าว” นายปานเทพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถาม พล.ต.จำลอง ในกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าไปร่วมพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทหาร พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ฝ่ายทหารน่าจะมีความเป็นห่วงมากกว่า เพราะตนเป็นเพียงทหารนอกราชการ อย่างไรก็ดีขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอน เพราะหลายครั้งรัฐบาลนี้พูดอะไรออกมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังเหมือนนโยบายต่างๆของรัฐบาลในขณะนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น