xs
xsm
sm
md
lg

ทีม กม.ปชป.บุก อสส.ขอสำเนาคดี “หญิงอ้อ” พรุ่งนี้ แต่รับจบเห่หลังไม่ส่งฟ้องฎีกา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทีมกฏหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายถาวร เสนเนียม นายวิรัตน์ กัลยาศิริ แลนายสกลนธี ภัททิยะกุล ร่วมกันแถลงข่าว ถึงเรื่องที่คณะทีมงานกฏหมายจะเดินทางไปขอรับทราบเหตุผลการที่ทางอัยการสูงสุดที่ไม่ดำเนินการฎีกาในคดีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร และจะขอเอกสารที่ทางอัยการสูงสุดที่ไม่ดำเนินการมาแสดงต่อสาธารณชน ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา เมื่อ 29 ก.ย.54
“ถาวร” เผย ทีมกฎหมายประชาธิปัตย์ บุก อสส.ขอสำเนาคำพิพากษา 2 ศาล คดี “หญิงอ้อ”, ความเห็นอัยการ และหนังสือ ป.ป.ช.พรุ่งนี้ ยันคดีแบบนี้ต้องฎีกา เหตุ 2 ศาลเห็นขัดแย้งข้อกฎหมาย แต่รับจบแล้ว หลังไม่ยอมยื่นศาลพิพากษา แย้มต้องรอให้ชาวบ้านยื่นถอด

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่รัฐสภา นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คณะทำงานด้านกฎหมาย แถลงว่า ในวันพรุ่งนี้ นายสกลธี ภัททิยกุล คณะทำงานด้านกฎหมายจะทำหนังสือไปถึง นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดเพื่อขอ 1.สำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฎีกาในคดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นของ คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ 2.สำเนาความคิดเห็นของอัยกาการสูงสุดที่มีความเห็นไม่ฎีกาในคดีดังกล่าว และ 3.หนังสือของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อให้ยื่นฎีกาในทุกข้อหาและกับจำเลยทุกคน เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป ทั้งนี้ ทางอัยการสูงสุดไม่ควรอ้างว่าเป็นข้อมูลลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาดำเนินการ

นายถาวร กล่าวว่า คดีลักษณะดังกล่าวตามหลักการต้องมีการฎีกา เนื่องจากความเห็นของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีความขัดแย้งกันในประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลอุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นถึงประเด็นอำนาจในการทำหนังสือเรียกจำเลยมาชี้แจงของกรมสรรพากรไม่เป็นไปตามกฎหมายส่งผลให้คำให้การดังกล่าวของจำเลยเป็นเท็จ ซึ่งเมื่อเกิดความเห็นต่างเช่นนั้น โดยหลักจะต้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป นอกจากนี้ ประธานศาลอุทธรณ์ยังทำความคิดเห็นแย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยไม่เห็นด้วยกับการรอลงอาญาของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับการหลบเลี่ยงภาษีที่มีจำนวนเงินสูงถึง 273 ล้านบาท ซึ่งเมื่อในหน่วยงานเดียวกันยังมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็ควรจะส่งให้ศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาด อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่าระยะเวลาไม่กี่ปีซึ่งในช่วงปี 2540 อัยการสูงสุดมีความเห็นว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดจึงนำคดีขึ้นฟ้องศาล แต่ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน อัยการสูงสุดกลับมองว่าคุณหญิงพจมานไม่มีความผิด

นายถาวร กล่าวว่า คดีนี้ถือว่าจบไปแล้ว เนื่องจากอัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์ภายใน 30 วัน ทำให้คดีหมดอายุความ และทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 273 ล้าน ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ทั้งเรื่องน้ำท่วมที่ประชาชนจำนวนมากกำลังเดือดร้อน และ ป.ป.ช.ได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะไม่ได้มีอำนาจทำเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) เป็นผู้ดำเนินการและส่งให้อัยการดำเนินส่งฟ้อง ต้องรอให้ประชาชน 2 หมื่นคน หรือ ส.ส.จำนวน 1 ใน 4 ในสภา เข้าชื่อถอดถอน

ด้าน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คณะทำงานด้านกฎหมาย กล่าวว่า โดยปกติแล้ว 99.99% คดีที่มีความขัดแย้งกันในสองศาลจะต้องนำขึ้นฎีกาทั้งสิ้น โดยเฉพาะมีประเด็นเรื่องข้อกฎหมายที่เห็นขัดแย้งกันเรื่อง อำนาจเจ้าหน้าที่พนักงานเรียกจำเลยมาสอบสวน จนเป็นเหตุให้ศาลใดศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง ควรจะต้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยในข้อกฎหมาย อีกทั้งคดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์สูง
กำลังโหลดความคิดเห็น