xs
xsm
sm
md
lg

“โจ้-ปรีชา” ยื่นค้านผลสอบเมลซื้อสื่อ-พิลึก! โบ้ยสอบเว็บ “ผู้จัดการ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปรีชา สะอาดสอน บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม สำนักข่าวเนชั่น (ภาพจากทวิตเตอร์ @preecha_cr)
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สองสามีภรรยา บก.ข่าวเนชั่น ร่อนหนังสือค้านผลสอบ “อีเมลซื้อสื่อ” ชี้ อนุสอบฯ สภาการไม่อ้างเหตุผลตามชี้แจง อ้างไม่ได้ติดต่อ “วิม” หลังเป็นข่าวเพราะเตรียมจะดำเนินคดี และไม่จำเป็นต้องติดต่อคนที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เอาชื่อไปแอบอ้างหวังไต่เต้าทางการเมือง ขณะ บก.เครือเนชั่น ขอร้องไม่ให้ติดต่อ มาแปลกยุให้สอบเว็บผู้จัดการ อ้างเสนอข่าวอีเมลฉาวส่งผลกระทบบุคคล-องค์กรสื่อเสียหายร้ายแรง

เว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ย.นางฐานิตะญาณ์ ธนพิศุทธิ์กุล บรรณาธิการข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่น และนายปรีชา สะอาดสอน บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม สำนักข่าวเนชั่น ซึ่งยอมรับว่า ตนคือบุคคลชื่อ “โจ้-ปรีชา” ในอีเมลของ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่ระบุถึงการให้ค่าตอบแทนสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือไปยัง คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของนักการเมือง ระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบการวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติตั้งขึ้น

ทั้งนี้ นางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา แยกกันทำหนังสือร้องเรียนคนละฉบับ ชี้แจงกรณีที่ผลสอบฯ ของคณะอนุกรรมการดังกล่าวพาดพิงบุคคลทั้งสอง โดยพาดพิงถึง นางฐานิตะญาณ์ ว่า “เมื่อปรากฏข่าวของอีเมลที่เป็นปัญหา นางฐานิตะญาณ์ ก็ไม่ได้โทรศัพท์ไปสอบถามหรือต่อว่า นายวิม เลย ทั้งที่ นายวิม รู้จักเป็นอย่างดีกับนายปรีชา ซึ่งเป็นสามีของตน” ส่วน นายปรีชา ได้ถูกพาดพิงว่า “มีข้อสังเกตต่อท่าทีของนายปรีชา ในช่วงหลังที่อีเมลดังกล่าวเป็นข่าวขึ้นมา ซึ่ง นายปรีชา ไม่ได้โทรศัพท์ไปสอบถามหรือต่อว่านายวิมเลย นอกจากนี้ เมื่อนายวิม โทรศัพท์ติดต่อมา นายปรีชา ก็ไม่ได้รับสาย และไม่ได้ติดต่อกลับ ทั้งที่ นายปรีชา รู้จักกับนายวิม มาก่อน แต่ นายปรีชา กลับให้การว่าจะเตรียมการฟ้องร้องต่อผู้ที่ทำให้ตนได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจรวมถึงนายวิมด้วย”

นางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา ชี้แจงว่า ข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการ ยังขาดพยานหลักฐานและเหตุผลอื่นที่ยังไม่ได้พิจารณา คือ ยังไม่มีการอ้างถึงเหตุผลตามที่ข้าพเจ้าได้เข้าชี้แจงในเรื่องนี้เลย เพราะเมื่อคณะอนุกรรมการได้ซักถามถึงเหตุผลเรื่องดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงไว้แล้วถึงสองประเด็น ซึ่ง นางฐานิตะญาณ์ ชี้แจงว่า ที่ไม่ได้ติดต่อ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยอีก เนื่องจากไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับผู้ที่ทำให้ตนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง จากการกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริง ถึงแม้ว่าจะรู้จักกันจากการติดต่อประสานงานตามสมควรในเรื่องงานที่ผ่านมาก็ตาม นอกจากนี้ นางฐานิตะญาณ์ ตัดสินใจจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายในเรื่องหมิ่นประมาท กับผู้ที่กระทำการและเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ตนเองได้รับความเสียหาย จึงเห็นว่าไม่สมควรจะติดต่อใดๆ กับบุคคลดังกล่าว เนื่องจากมีความเกี่ยวพันและอาจมีผลกระทบกับรูปคดีได้

ขณะเดียวกัน นายปรีชา ชี้แจงกรณีที่ไม่ได้ติดต่อกับนายวิมอีก เนื่องจากไม่พอใจที่นายวิมทำให้ตนได้รับความเสียหาย และเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการที่นายวิม นำชื่อของตนไปอ้างอย่างไม่มีมูลความจริง เพื่อการไต่เต้าทางการเมือง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อตนเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากตนติดต่อไป อาจเกิดความเข้าใจผิดไปได้ว่า ตนโทรศัพท์ไปนัดแนะ หรือเตรียมเรื่องกันไว้ก่อนถ้ามีการสอบสวน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อีกทั้งตนมีความคิดว่า ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นใดที่จะต้องไปติดต่อกับผู้ที่ทำให้ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง จากการกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริง ถึงแม้ว่าจะรู้จักกันจากการติดต่อประสานงานตามสมควรในเรื่องงานที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่ง ณ เวลานั้น นายปรีชา ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายในเรื่องหมิ่นประมาท กับผู้ที่กระทำการและเกี่ยวข้องกับการทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย จึงเห็นว่า ไม่สมควรจะติดต่อใดๆ กับบุคคลดังกล่าว เนื่องจากมีความเกี่ยวพันและอาจมีผลกระทบกับรูปคดีได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่ไม่ติดต่อนายวิมอีก ซึ่งไม่ได้แจ้งคณะอนุกรรมการในวันที่มีการสอบสวน เนื่องจากเป็นเพราะคณะบรรณาธิการอาวุโสของเครือเนชั่น ได้ทำการสอบถาม ทั้ง นางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา พร้อมกันในทันทีที่ทราบข่าว และได้มีความเห็นร่วมกันว่า ทั้ง นางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา ไม่สมควรจะติดต่อ หรือแม้แต่รับการติดต่อจากนายวิมทั้งสิ้น เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อการสอบสวนต่างๆ ที่จะมีขึ้น รวมทั้งการฟ้องคดี ส่วนกรณีที่ผลสอบคณะอนุกรรมการ ระบุว่า เชื่อว่า ผู้ที่ถูกพาดพิงส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้มีพฤติกรรมการรับสินบนตามที่เป็นข่าว แม้จะยังมีข้อสงสัยต่อท่าทีของผู้ถูกพาดพิงบางรายว่า เหตุใดจึงมีพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งน่าจะขัดต่อวิสัยปกติของบุคคลทั่วไปในสถานการณ์ดังกล่าวนั้น ทั้ง นางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา ยังชี้แจงในคำอุทธรณ์ว่าข้อสรุปดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังจะทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดเป็นสำคัญจากข้อสังเกตดังกล่าว

“ด้วยเหตุผลที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงไปแล้วว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการฟ้องคดี ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่สำคัญและเป็นปกติวิสัยของผู้ที่กำลังจะดำเนินการเรื่องนี้ เพราะหากมีการพูดหรือเจรจาใดๆ กับคู่กรณี ก็อาจถูกนำไปใช้ต่อสู้คดีจนอาจเป็นปฏิปักษ์ในทางคดีกับข้าพเจ้าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การที่ข้าพเจ้าไม่ติดต่อกับนายวิม ภายหลังเกิดกรณีดังกล่าว ย่อมถือเป็นวิสัยที่เป็นปกติของบุคคลทั่วไปที่ตั้งใจจะดำเนินคดีตามกฎหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่แล้ว ในอันจะไม่พูด หรือเจรจา หรือแม้แต่แสดงความเห็นใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อรูปคดีในอนาคต” หนังสือระบุ

ในท้ายหนังสืออุทธรณ์ของทั้ งนางฐานิตะญาณ์ และ นายปรีชา ยังอ้างถึงผลสอบของอนุกรรมการ ที่ระบุถึงการนำเสนอข่าวของเว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์ โดยขอให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ควรดำเนินการตรวจสอบถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งทั้งสองคนอ้างว่า การนำเสนอข่าวไม่รอบด้าน ได้ส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อบุคคลและองค์กรวิชาชีพอื่นอย่างร้ายแรง
กำลังโหลดความคิดเห็น