เจ้าหน้าที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แสดงมุทิตาจิต “ปราโมทย์” หลังครบวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี เจ้าตัวขอทุกคนเสียสละ ให้ความเป็นธรรม แนะปลูกจิตสำนึกนักการเมืองให้ทำเพื่อส่วนรวม จ่อนั่งกุนซือประธานวุฒิฯ ต่อ ชี้ย้าย “ถวิล” ต้องตอบสังคมได้ ชม “ยิ่งลักษณ์” แก้ไขไม่แก้แค้น แต่พร้อมรอดูทำได้หรือไม่ ด้าน “ศรีราชา” เล็งเสนอกฎหมายแก้ต่างด้าวใช้นอมินีครองที่ดิน
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตให้กับ นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะพ้นตำแหน่ง เนื่องจากครบวาระ 6 ปีของการดำรงตำแหน่ง โดยมี นายศรีราชา เจริญพานิช และ นางผาณิต นิติทัณประภาส และเจ้าหน้าที่ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง นายปราโมทย์ กล่าวว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความเสียสละ มีน้ำใจ มีความเป็นธรรมให้ทุกคน เพราะการเป็นผู้ให้มีความสุขใจ การคบคน ต้องยอมเสียเปรียบ และแม้ว่าจะพ้นจากตำแหน่งแล้ว ก็จะคอยติดตามการทำงานของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป
นายปราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังพ้นจากตำแหน่งแล้ว จะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ที่ได้ติดต่อทาบทามมา แต่ยังไม่ทราบว่า จะไปเป็นที่ปรึกษาด้านไหน ทั้งนี้ เชื่อว่า หลังจากหมดวาระแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจะยึดแนวทางการทำงานที่วางไว้ ด้วยการประนีประนอม ช่วยเหลือประชาชน โดยสันติวิธี พร้อมกับปลูกจิตสำนึกของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ฝ่ายบริหารการเมืองตลอดจนการเมืองระดับท้องถิ่น ทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม อย่าคิดถึงเพียงประโยชน์เฉพาะกลุ่ม รวมทั้งสร้างความสามัคคี เพื่อปกป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์
ส่วนกรณี นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ที่ถูกรัฐบาลโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้น นายปราโมทย์ มองว่า การโยกย้ายดังกล่าวต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม ซึ่งผู้มีอำนาจจะโยกย้ายใครก็ต้องมีเหตุผล ที่อธิบายประชาชนกับประชาชนได้ เชื่อว่า รัฐบาลจะโยกย้ายใครคงคิดรอบครอบแล้ว แต่หากนายถวิล เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมตามช่องทางกระบวนการยุติธรรม รวมถึงศาลปกครองได้
“ส่วนตัวก็ขอชื่นชม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า คิดแก้ไข ไม่แก้แค้น โดยจะติดตามถ้อยคำดังกล่าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ระบุไว้ ว่า จะสามารถทำได้อย่างที่พูด” นายปราโมทย์ กล่าว
ด้าน นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงผลการรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำประชาพิจารณ์งานวิจัยเรื่อง “ตัวแทนอำพราง” กรณีที่ดินและหุ้น ตามที่ได้ให้ น.ส.ปิยะนุช โปตะวณิช อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ดำเนินการวิจัย ว่า จากผลการประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่ เห็นว่า กฎหมายที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจโดยอาศัยตัวแทน อำพรางในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เพราะปัจจุบันทำได้เพียงการกำหนดควบคุมสัดส่วนคนต่างด้าวที่จะมาถือหุ้นและเข้ามาบริหารกิจการในรูปแบบของกรรมการ ยังมีช่องว่างในกรณีคนต่างด้าวอาจมาใช้คนไทยถือหุ้นแทนทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วคนต่างด้าวเป็นผู้ถือหุ้นข้างมากอยู่ หรือกรณีที่คนต่างด้าวไปขอแก้ไขจดทะเบียนให้หุ้นที่ถือเป็นหุ้นบุริมสิทธิ์ที่จะออกเสียงเป็นเสียงข้างมากหรือเป็นกรรมการในนิติบุคคลนั้นทำให้มีสิทธิออกเสียงเป็นเสียงข้างมากเข้าครอบงำนิติบุคคลนั้นๆ ได้เลยจึงเป็นการเปิดช่องให้คนต่างด้าวเข้ามาครอบงำกิจการในประเทศไทยได้โดยง่าย อีกทั้งในการจดทะเบียนหรือการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีการกำหนด ให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันหาพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่า กรณีใดบ้างที่เป็นการประกอบธุรกิจโดยอาศัยตัวแทนอำพราง และไม่มีบทลงโทษของกฎหมายเรื่องตัวแทนอำพรางโดยเฉพาะ กฎหมายที่มีอยู่ก็กำหนดโทษต่ำเกินไปซึ่งไม่สอดคล้องกับความร้ายแรงและความเสียหาย รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
นายศรีราชา ยังกล่าวอีกว่า จากปัญหาดังกล่าวทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะมีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร 1.ข้อเสนอแนะที่นำผลการศึกษาไปใช้ในระยะเร่งด่วน หรือระยะสั้น โดยเห็นควรให้มีการเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อตราระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมอำพรางแทนคนต่างด้าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 1(8) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
2.ข้อเสนอแนะที่นำผลการศึกษาไปใช้ในระยะยาว เห็นควรมีการตรากฎหมายกลางเกี่ยวกับการป้องกัน หรือควบคุมการทำธุรกรรมที่มีลักษณะการเป็นตัวแทนอำพรางเพื่อกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบและกลไกรวมทั้งกระบวนการในการตรวจสอบให้ครอบคลุมการทำธุรกรรมทุกประเภท รวมทั้งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น แก้ไขบทนิยามคำว่า “คนต่างด้าว” ตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ให้ครอบคลุมกรณีนิติบุคคลมีอำนาจบริหารหรือการครอบงำกิจการของนิติบุคคลที่คนต่างด้าวตั้งขึ้นมาโดยใช้คนไทยเป็นผู้อำพรางการทำธุรกรรม
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตให้กับ นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะพ้นตำแหน่ง เนื่องจากครบวาระ 6 ปีของการดำรงตำแหน่ง โดยมี นายศรีราชา เจริญพานิช และ นางผาณิต นิติทัณประภาส และเจ้าหน้าที่ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง นายปราโมทย์ กล่าวว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความเสียสละ มีน้ำใจ มีความเป็นธรรมให้ทุกคน เพราะการเป็นผู้ให้มีความสุขใจ การคบคน ต้องยอมเสียเปรียบ และแม้ว่าจะพ้นจากตำแหน่งแล้ว ก็จะคอยติดตามการทำงานของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป
นายปราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังพ้นจากตำแหน่งแล้ว จะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ที่ได้ติดต่อทาบทามมา แต่ยังไม่ทราบว่า จะไปเป็นที่ปรึกษาด้านไหน ทั้งนี้ เชื่อว่า หลังจากหมดวาระแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจะยึดแนวทางการทำงานที่วางไว้ ด้วยการประนีประนอม ช่วยเหลือประชาชน โดยสันติวิธี พร้อมกับปลูกจิตสำนึกของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ฝ่ายบริหารการเมืองตลอดจนการเมืองระดับท้องถิ่น ทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม อย่าคิดถึงเพียงประโยชน์เฉพาะกลุ่ม รวมทั้งสร้างความสามัคคี เพื่อปกป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์
ส่วนกรณี นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ที่ถูกรัฐบาลโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้น นายปราโมทย์ มองว่า การโยกย้ายดังกล่าวต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม ซึ่งผู้มีอำนาจจะโยกย้ายใครก็ต้องมีเหตุผล ที่อธิบายประชาชนกับประชาชนได้ เชื่อว่า รัฐบาลจะโยกย้ายใครคงคิดรอบครอบแล้ว แต่หากนายถวิล เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมตามช่องทางกระบวนการยุติธรรม รวมถึงศาลปกครองได้
“ส่วนตัวก็ขอชื่นชม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า คิดแก้ไข ไม่แก้แค้น โดยจะติดตามถ้อยคำดังกล่าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ระบุไว้ ว่า จะสามารถทำได้อย่างที่พูด” นายปราโมทย์ กล่าว
ด้าน นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงผลการรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำประชาพิจารณ์งานวิจัยเรื่อง “ตัวแทนอำพราง” กรณีที่ดินและหุ้น ตามที่ได้ให้ น.ส.ปิยะนุช โปตะวณิช อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ดำเนินการวิจัย ว่า จากผลการประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่ เห็นว่า กฎหมายที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจโดยอาศัยตัวแทน อำพรางในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เพราะปัจจุบันทำได้เพียงการกำหนดควบคุมสัดส่วนคนต่างด้าวที่จะมาถือหุ้นและเข้ามาบริหารกิจการในรูปแบบของกรรมการ ยังมีช่องว่างในกรณีคนต่างด้าวอาจมาใช้คนไทยถือหุ้นแทนทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วคนต่างด้าวเป็นผู้ถือหุ้นข้างมากอยู่ หรือกรณีที่คนต่างด้าวไปขอแก้ไขจดทะเบียนให้หุ้นที่ถือเป็นหุ้นบุริมสิทธิ์ที่จะออกเสียงเป็นเสียงข้างมากหรือเป็นกรรมการในนิติบุคคลนั้นทำให้มีสิทธิออกเสียงเป็นเสียงข้างมากเข้าครอบงำนิติบุคคลนั้นๆ ได้เลยจึงเป็นการเปิดช่องให้คนต่างด้าวเข้ามาครอบงำกิจการในประเทศไทยได้โดยง่าย อีกทั้งในการจดทะเบียนหรือการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีการกำหนด ให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันหาพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่า กรณีใดบ้างที่เป็นการประกอบธุรกิจโดยอาศัยตัวแทนอำพราง และไม่มีบทลงโทษของกฎหมายเรื่องตัวแทนอำพรางโดยเฉพาะ กฎหมายที่มีอยู่ก็กำหนดโทษต่ำเกินไปซึ่งไม่สอดคล้องกับความร้ายแรงและความเสียหาย รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
นายศรีราชา ยังกล่าวอีกว่า จากปัญหาดังกล่าวทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะมีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร 1.ข้อเสนอแนะที่นำผลการศึกษาไปใช้ในระยะเร่งด่วน หรือระยะสั้น โดยเห็นควรให้มีการเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อตราระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมอำพรางแทนคนต่างด้าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 1(8) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
2.ข้อเสนอแนะที่นำผลการศึกษาไปใช้ในระยะยาว เห็นควรมีการตรากฎหมายกลางเกี่ยวกับการป้องกัน หรือควบคุมการทำธุรกรรมที่มีลักษณะการเป็นตัวแทนอำพรางเพื่อกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบและกลไกรวมทั้งกระบวนการในการตรวจสอบให้ครอบคลุมการทำธุรกรรมทุกประเภท รวมทั้งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น แก้ไขบทนิยามคำว่า “คนต่างด้าว” ตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ให้ครอบคลุมกรณีนิติบุคคลมีอำนาจบริหารหรือการครอบงำกิจการของนิติบุคคลที่คนต่างด้าวตั้งขึ้นมาโดยใช้คนไทยเป็นผู้อำพรางการทำธุรกรรม