ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าจะไม่ได้เหนือความคาดหมายกับการที่ ถวิล เปลี่ยนศรี จะต้องออกมาแถลงตอบโต้หลังจากคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เห็นชอบให้โยกย้ายให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำเมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยให้มีผลทันที แต่นึกไม่ถึงว่าการแถลงของเขาในวันรุ่งขึ้น(วันที่ 7 กันยายน) กลับส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์และความรู้สึกของของประชาชนในทางลบได้มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นการสะสม “ภาพยี้” ให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ
หลายคนคงคาดไม่ถึงว่า อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติคนนี้ ที่ปกติจะพูดน้อย และไม่ค่อยตอบคำถามของสื่อในรายละเอียดตามแบบฉบับของคนที่ทำงานด้านการข่าว เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่กลายเป็นว่าเมื่อถึงจังหวะสำคัญเขาก็รู้จักเลือก “ประเด็น” มาตอบโต้เพื่อเอาคืนฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสาสม ไม่ยอมให้ถูกขยี้ให้จมดินอยู่ฝ่ายเดียว
และที่สำคัญในระยะยาวยังมีโอกาสพลิกกลับมาได้เปรียบ ก็มีไม่น้อย แต่เอาเป็นว่านาทีนี้หลังจากฟังคำแถลงชี้แจง เปิดใจ รวมไปถึงการตั้งข้อสงสัยของ ถวิล เปลี่ยนศรี ได้ส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของ รัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ได้พอสมควร เพราะเป็นการชี้ให้สังคมได้เห็นถึง “สาเหตุที่แท้จริง” ต่อการโยกย้ายเขาพ้นจากตำแหน่งดังกล่าว
แม้ว่าในคำแถลงของ ถวิล จะไม่ได้ระบุชื่อตัวบุคคล แต่ความหมายก็เป็นที่รู้กันว่าได้ส่งผลกระทบในภาพลบก็ต้องหนีไม่พ้น บุคคลเหล่านี้ไล่ไปตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รองนายกรัฐมนตรี เฉลิม อยู่บำรุง ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พี่เมีย ทักษิณ ชินวัตร และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
หากจับประเด็นหลักๆที่ ถวิล ได้นำมาเน้น เพื่อให้สังคมได้รับรู้ก็คือ การโยกย้ายเขาพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติคราวนี้เป็นเพราะฝ่ายการเมืองต้องการให้ “บางคน” ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ขณะเดียวกันก็เพียงแค่ต้องการหาตำแหน่งใหม่ให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน มานั่งในตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้สมศักดิ์ศรี แล้วย้ายตัวเองไปที่อื่น โดยที่ไม่มีความผิด
รับรองว่างานนี้โดนเข้าไปเต็มๆก็คือ รัฐบาลทั้งชุด เพราะความหมายก็รู้อยู่แล้วว่า เพียงเพื่อต้องการผลักดัน “เครือญาติ” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นมานั่งเก้าอีกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพียงคนเดียว แต่ทำให้คนอื่นพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ขณะเดียวกันคนที่ได้ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองภายในช่วงเวลาข้ามคืนกลับกลายเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่สยบยอมหลังจาก “สมใจ” กับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ฝ่ายการเมืองได้หยิบยื่นให้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลุกจากเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ นั่งแทน
สำหรับฝ่ายการเมืองที่ถูกระบุว่าลุแก่อำนาจ เหยียดหยามข้าราชการ แม้จะไม่ชัดเจนว่าหมายถึงใครบ้าง แต่รับรองว่าหนึ่งในนั้นย่อมต้องหมายถึง รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ก่อนหน้านี้ออกมาให้สัมภาษณ์กดดันให้ ถวิล ทำหนังสือขอย้ายตัวเองไปนั่งที่อื่น โดยอ้างว่ามาเพราะการเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ก็ต้องไปตามวิถีทาง พร้อมกันนี้ยังเคยกล่าวหาว่า ที่ผ่านมาเคยเป็นเลขานุการคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ในช่วงกระชับพื้นที่ระหว่างการชุมนุมก่อจลาจลของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รวมไปถึงคำให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าไม่ใว้วางใจหากให้นั่งร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดีคนที่โดนเข้าไปเต็มๆ และเชื่อว่าเป็นครั้งแรกๆที่ต้องเจอบรรยากาศแบบนี้ก็คือ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ เพราะในคำแถลงของ ถวิล ได้ระบุทำนองว่า เธอ “ไร้ภาวะผู้นำ” ไม่ออกมาปกป้องลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง ทั้งที่ไม่ได้มีความผิด และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ถวิล ไม่มีความผิด ดังนั้นเมื่อไม่มีความผิด ไม่บกพร่องแล้วไปโยกย้ายทำไม ลักษณะที่ออกมาจึงเป็นแบบถูกรังแกไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ถวิล ยังเคลียร์ตัวเองในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่ารับใช้พรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่เป็นความจริง เพราะเขารับใช้รัฐบาล ทุกรัฐบาล ตามวิถีทางของข้าราชการประจำที่เป็นกลไกอำนาจรัฐ และย้ำว่าเขาเป็น “มืออาชีพ” ที่เติบโตมาในหน่วยงานด้านความมั่นคงมานานกว่า 30 ปี ย่อมถนัดในเรื่องงานดังกล่าวและตั้งใจจะทำงานที่นี่จนกว่าจะเกษียณอายุราชการตามกำหนด
การประกาศร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ค.) เป็นอันดับแรกก่อนที่จะฟ้องศาลปกครองตามขั้นตอนต่อไป เชื่อว่าจะได้ใจจากหลายฝ่าย รวมไปถึงข้าราชประจำจำนวนหนึ่งที่กำลังจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันในอีกไม่นานข้างหน้า จากการ “ล้างบาง” เมื่อขั้วอำนาจเปลี่ยน
ดังนั้นการออกมาแถลงของ ถวิล เปลี่ยนศรี ในลักษณะ “พลีชีพ” แต่ขณะเดียวกันก่อนที่จะล้มลงไปก็ได้ใช้อาวุธทิ่มแทงเข้าตรงจุดสำคัญ ให้สังคมได้เห็นว่า ฝ่ายการเมืองจะข่มเหงอย่างไรก็ทำ เพียงแค่ต้องการให้พรรคพวก ญาติพี่น้องของตัวเองได้ก้าวขึ้นอยู่ตำแหน่งตามเป้าหมายเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใดก็ไม่ต้องไปสนใจ และแม้ว่ายังไม่อาจถึงขั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนแบบหนักหนาสาหัสกับรัฐบาล แต่รับรองว่าในมุมของสังคมเริ่มหันมาจับตาเขม้นมองแบบแปลกแน่นอน !!