ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกได้ว่านี่คือ “ยิ่งลักษณ์โมเดล” ที่ทำตามคำสั่งของ ทักษิณ ชินวัตร และ พจมาน ณ ป้อมเพชร พี่ชายและพี่สะไภ้ ที่มีอิทธิพลชักใยอยู่เบื้องหลัง และหากจะเรียกว่าการ “บูรณาการ” แก้ปัญหา เหมือนกับที่นำมาใช้ตามพื้นที่ต่างๆ ในต่างจังหวัด เช่น บางระกำโมเดล ที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และอุดรฯ โมเดล ขณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา
แต่ความหมายของยิ่งลักษณ์โมเดลดังกล่าวก็คือ การเริ่มเปิดเกมรุก “กระชับอำนาจ” โดยใช้วิธีบูรณาการทำงานกันเป็นทีมเดินไปข้างหน้าพร้อมกันในทุกหน่วยงาน และทำทันที เพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามลำดับก่อนหลัง
เริ่มจากการรักษาฐานมวลชนคนเสื้อแดง ด้วยการบำเหน็จรางวัลอย่างถ้วนหน้า โดยแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้กับบรรดา “หัวโจก” ที่รับใช้พรรคเพื่อไทยและจงรักภักดีต่อคนในครอบครัว “ชินวัตร” อย่างซื่อสัตย์ ลดหลั่นกันไปตามระดับความสำคัญ
เป็นการตอบแทนที่คุ้มค่า อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความพอใจให้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่มีความรู้สึกว่า “ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง” ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยังเป็นตัวอย่างให้กับใครก็ได้ที่ยัง “ลังเล”ให้รีบตัดสินใจ เพราะถ้าหันกลับมาสวามิภักดิ์ก็จะได้รับการตอบแทนอย่าง “ถึงขนาด” แบบนี้แหละ
เมื่อซื้อใจกันไปเต็มร้อยแล้วต่อไปแน่นอนว่ามวลชนคนเสื้อแดงก็จะเป็นเกราะปกป้องรัฐบาล เป็นฐานสนับสนุนให้อย่างมั่นคงต่อไป
ถัดมาก็มีการสร้างภาพทางการตลาดให้เกิดความพอใจแบบปัจจุบันทันด่วน แสดงให้เห็นว่าได้ทำตามสัญญาก็คือการงดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันหลักคือ น้ำมันเบนซินและดีเซลลดลงมาอย่างเป็นกอบเป็นกำลิตรละ 3-8 บาท ซึ่งแน่นอนว่าต้องสร้างความพอใจให้กับชาวบ้านทั่วไปได้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มีการไปบีบให้ค่าโดยสารลดลงมาได้บ้าง ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพ “พูดจริงทำจริง” ส่วนจะเป็นแค่กลลวง เป็นภาพ “ราคาถูก” เพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือไม่ค่อยมาว่ากันภายหลัง แต่เอาเป็นว่าเวลานี้เรียกเสียงฮือฮาเอาไว้ก่อน
จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่เป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเข้าสู่กระบวนการ “กระชับอำนาจ” เพื่อวางฐานอำนาจให้ยาวนานที่สุด แน่นอนว่าต้องอาศัยช่วงจังหวะในฤดูโยกย้ายใหญ่มีการ “กวาดล้าง” ฝ่ายตรงข้ามในตำแหน่งสำคัญ ไล่เรียงกันไป ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองสามารถครอบงำได้มากน้อยแค่ไหน
อย่าได้แปลกใจที่ต้องเริ่มต้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล ในที่นี้ยังหมายรวมถึงการข่มขู่คุกคาม ใช้อำนาจทางกฏหมายที่มีอยู่ในมือมาเป็นมือเป็นไม้ให้กับรัฐบาลได้อย่างครอบจักรวาล โดยเฉพาะหากจะเป็น “รัฐตำรวจ” ก็ต้องเร่งลงมือเสียตั้งแต่ต้นมือ
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่นาทีนี้จะต้องมีการเปลี่ยนตัว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาเป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ “พี่เมีย” ของทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสีกากีแห่งนี้ รอเพียงแต่ว่าจะใช้จังหวะตอนไหนเท่านั้นเอง เพราะเวลานี้ได้ “สร้างเงื่อนไข” เพื่อ “โค่น” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเก่าจนโล่งเตียนไปหมดแล้ว
การแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นั้นหลายคนมองว่ามีเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ เพื่อเป็นเกียรติยศกับเจ้าตัวที่ต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในอาชีพ หลังจากก่อนหน้านี้ต้อง “วืด” มาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น เมื่อได้อำนาจรัฐคราวนี้ก็ต้องรีบจัดการโดยเร็วเพื่อป้องกันความผิดพลาด ประการต่อมา เมื่อได้ตำแหน่งระบสูงสุดมาแล้วขั้นตอนต่อไปก็ถึงเวลาที่จะต้อง “จัดแถว” ตำรวจกันครั้งใหญ่
ก่อนหน้านี้เคยกล่าวถึง และตั้งข้อสังเกตมาแล้วหลายครั้งแล้วว่า นอกเหนือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ยังมีเป้าหมายเข้าไป “ล้างบาง” ในทุกกระทรวง แต่จะเน้นในตำแหน่งสำคัญลงมา แน่นอนว่าจะต้องมีระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เวลานี้ ธาริต เพ็งดิษฐ์ น่าจะแพ็กกระเป๋าเตรียมรอเอาไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลทางด้านความมั่นคงก็คือ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ถวิล เปลี่ยนศรี ที่แต่งตั้งในยุครัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นอกเหนือจากนี้ก็มีตำแหน่งสำคัญในกระทรวงการคลัง รวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนกันครั้งใหญ่ ซึ่งแทบทุกตำแหน่งก็อาศัยจังหวะฤดูโยกย้ายข้าราชการทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมรอบข้าง
อย่างไรก็ดี นี่คือ “ยิ่งลักษณ์โมเดล” ที่เริ่มเปิดเกมรุก “กระชับอำนาจ” ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการบำเน็จรางวัลให้กับหัวโจกคนเสื้อแดงเพื่อรักษาฐานมวลชนสนับสนุน จากนั้นก็สร้างภาพทางการตลาดทำให้ราคาน้ำมันลดลง และก็ไม่เกินความคาดหมายหากมีการผลักดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นมาคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะนี่เป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ต้องเข้าไปกวาดล้างกันขนานใหญ่
แต่ที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งก็คือ กำหนดการเข้าไปเป็นประธานการประชุม “สภากลาโหม” ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีในวันที่ 1 กันยายนนี้ หลังจากเมื่อตอนบ่ายวันที่ 30 สิงหาคมได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) มาแล้ว ความหมายก็จะออกมาในแบบแสดง “ภาวะผู้นำ” สร้างภาพให้เห็นว่า “คุมทั้งตำรวจและทหาร” ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อยิ่งลักษณ์เป็น “โคลนนิ่ง” ของ ทักษิณ ชินวัตร มันก็มีความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายขยายความกันแล้ว!!