“พิภพ” หนุนแนวทางตั้งพรรคทำการเมืองสะอาด แนะไม่จำเป็นต้องใหญ่โต ก้าวข้ามความผิดพลาดสมัยพรรคการเมืองใหม่ ติงรัฐชงแก้ รธน. ต้องเน้นส่วนร่วมประชาชน ไม่ถูกกันให้ไปอยู่ชายขอบเหมือน 2 ฉบับก่อน เชื่อพูดเรื่องช่วย “นช.แม้ว” แค่กลลวง แท้จริงจ้องพลังงานในอ่าวไทย อดีต รมต.ขิงแก่อัด ครม.ใหม่ขี้เหร่มีภาพแตกแยก เจองานหนักทั้ง “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น” รุมขย้ำ แถม “ทักษิณ” เคลื่อนไหวไม่เป็นผลดี
นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการสัมมนาวิชาการ “อนาคตปฏิรูปประเทศไทย” ช่วงหนึ่งว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงก่อนประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อผู้หญิงยังเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ตนก็มีความหวังเรื่องการเมืองสะอาด หรือการเมืองสีเขียวมากขึ้น ในความเป็นจริงแนวคิดการเมืองสีเขียวได้เคยเกิดขึ้นจากการตั้งพรรคการเมืองใหม่มาแล้ว แต่สุดท้ายก็ล้มไป เพราะไม่เคร่งครัดในอุดมกาณณ์ เน้นชูตัวบุคคลมากไป ต่อจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องก้าวข้ามพรรคการเมืองใหม่ไปข้างหน้า ตนมองว่าหากจะทำกลุ่มการเมืองสีเขียวเป็นพรรคการเมือง ไม่จำเป็นต้องสร้างเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ แต่ต้องมีกระบวนการเคลื่อนที่สร้างกระแสใหญ่ในสังคม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนวิธีคิดของคนในสังคม
“พรรคการเมืองใหม่มาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมีคนบอกว่าจะทำพรรคการเมืองใหม่ เป็นพรรคมวลชน แต่สุดท้ายไม่สามารถทำได้ ดังนั้น การทำกลุ่มการเมืองใหม่ ที่จะขยายไปเป็นพรรคการเมืองในอนาคตต้องระวังในเรื่องดังกล่าว” นายพิภพกล่าว
นายพิภพกล่าวอีกว่า การเมืองกระแสหลักในปัจจุบันมุ่งที่จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และพยายามทำรูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่จริงๆ แล้วในระบบเศรษฐกิจโลกไม่เคยมีความเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผูกขาดตลอด การตั้งกลุ่มการเมืองสีเขียวที่นำแนวทางมาจากต่างประเทศ ก็ต้องระวังการรับอิทธิผลจากต่างประเทศ และต้องให้ความสำคัญในกระบวนการมากกว่าให้ความสำคัญกับเชื่อกลุ่ม
ส่วนที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมที่จะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั้น นายพิภพกล่าวว่า ขอถามว่ารัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่าให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิไตย แต่รัฐธรรมนูญ 2 ฉบับนั้นถือว่าให้ประชาชนมีส่วนร่วมที่ชายขอบเท่านั้น เพราะศูนย์รวมอำนาจของประเทศอยู่ที่คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทำให้ตัวเองจากที่เคยคลั่งไคล้รัฐธรรมนูญ 2540 หรือองค์กรอิสระต่างๆ ปัจจุบันเลิกคลั่งไคล้เพราะเป็นแนวทางที่ไม่ได้ปฏิรูปการเมืองของประเทศอย่างแท้จริง
นายพิภพกล่าวว่า ตนมองว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาทิ การกลับประเทศ การนิรโทษกรรมความผิด เป็นเพียงกลลวงเท่านั้น เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถบริหารประเทศได้ 4 ปี ไม่มีความจำเป็นใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องรีบกลับประเทศ ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ น้ำมันที่อ่าวไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณได้รู้รสแล้วว่า การเป็นเจ้าของพลังงาน หรือทุนที่เพิ่มทุนได้เป็นช่องทางที่เพิ่มความร่ำรวยให้ได้ และการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับปราสาทพระวิหารนั้น เป็นเพียงกลลวงที่นำไปสู่การแบ่งน้ำมันทางทะล
ด้าน นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีต รมช.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวว่า รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากกว่า 3 รัฐบาลที่ผ่านมา คือ รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายสมัคร สุนทรเวช และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เนื่องจากมีเสียงข้างมากในสภา แต่หน้าตาของคณะรัฐมนตรีนั้น ยอมรับว่าไม่น่าดู เพราะมีภาพของความแตกแยกภายในซ่อนอยู่ และที่สำคัญการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจก่อปัญหาให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้
นพ.พลเดชกล่าวว่า ปัญหาที่น่าหนักใจและสร้างความลำบากให้กับรัฐบาลชุดใหม่ คือ ความฮึกเหิมของกลุ่มมวลชนที่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุดมีพฤติกรรมทำร้ายคนอื่น ซึ่งตนฟันธงได้เลยว่ารัฐบาลไม่สามารถคุมมวลชนกลุ่มดังกล่าวได้ อีกทั้งบรรยากาศทางการเมืองขณะนี้มีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น มีกระบวนการใต้ดิน บนดิน และใต้สะดือ ที่ทำให้สั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาลพอสมควร
ส่วนกลุ่มการเมืองสีเขียวที่ตั้งขึ้นมานั้น หากจะให้การตรวจสอบสำเร็จผล ต้องกำหนดทิศทางให้ชัดเจนเพราะการตรวจสอบรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่เป็นรัฐบาลธุรกิจพ่อค้าจะยากกว่ารัฐบาลที่เป็นนักกฎหมาย