xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทย-ยิ่งลักษณ์ อย่าล้อเล่นกับความคาดหวังของชาวบ้าน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

แม้จะพอจะคาดเดากันได้ล่วงหน้ากันอยู่แล้ว สำหรับคนที่ติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และมีความเข้าใจถึงศักยภาพของภาคเอกชนและภาระงบประมาณที่จะนำมารองรับนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า ทักษิณ เป็นคนคิดนั้นว่า ในที่สุดแล้วมันทำได้ยากหรือทำไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรอลุ้นเหมือนกันว่าจะทำได้อย่างไร ล่าสุดเพิ่งได้ฟังจากปากของ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในสภาที่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า หลายเรื่องที่ประกาศระหว่างการหาเสียงเป็นเพียงแค่ “เทคนิคทางการเมือง” เท่านั้น

ตอนแรกก็ยังมองในแง่ดีคิดว่าเป็นการตอบโต้กับว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเรื่องการรักษาสัญญาระหว่างการหาเสียงที่พูดไว้ที่ฝั่งธนฯบอกว่าหากลูกชายไม่ได้รับเลือกตั้งก็จะไม่ขอรับตำแหน่งในรัฐบาล แต่กลายเป็นว่ามีการย้ำอีกครั้งในภายหลัง การเขียนนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภาที่ผิดเพี้ยนไปจากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเนื่องจากต้องการ “หลบเลี่ยงกฎหมาย” ในเรื่อง “สัญญาว่าจะให้” ผลจึงต้องออกมาในแบบ “รายได้รวม” วันละ 300 บาท รวมทั้งจบปริญญาตรีมีรายได้รวมเดือนละ 15,000 บาท จากเดิมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และที่บอกว่าจะทำทันทีนั้นกลับกลายเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ สำหรับการทำทันทีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่รับบทเป็นคนชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีในสภา ก็ให้สัมภาษณ์เล่นลิ้นยียวนเพิ่มเติมโดยมีความหมายว่า “เริ่มทำทันทีแน่นอน แต่ผลจะออกมาเมื่อไหร่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ขณะที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ให้สัมภาษณ์ออกมาในแนวทางเดียวกันว่า เป็นเพียงแค่ “ตีความตามตัวอักษร” เท่านั้น แต่เป้าหมายก็คือ ต้องเน้นที่ “รายได้” เป็นหลัก

ดังนั้น ถ้าให้สรุปจากคำพูดข้างต้นของคนสำคัญในรัฐบาลคือกำลัง “เบี้ยว” และไม่ทำตามที่สัญญาเอาไว้นั่นเอง เพราะความหมายของคำว่าค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท กับรายได้รวมมันต่างกันโดยสิ้นเชิง

หากพิจารณาโดยผิวเผินมันไม่น่าต่างกัน เพราะไหนๆก็จะมีเงินได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 300 บาทอยู่แล้ว แต่ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงมันไม่ใช่เป็นค่าจ้างขั้นต่ำของ “แรงงานแรกเข้า” แต่เป็นรายได้รวมสวัสดิการที่ “บางบริษัท” จัดหาเอาไว้ให้ตามปกติ และที่สำคัญส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานที่ “มีฝีมือ” ซึ่งคนพวกนี้ก็ได้มากกว่า 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว ในส่วนของเงินเดือน 15,000 บาท กับรายได้รวม ก็มีลักษณะเดียวกัน

ดังนั้นความหมายมันไม่ใช่เป็นการตีความตามตัวอักษรตามที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามอธิบาย แต่เป็นการเล่นลิ้นพลิกพลิ้ว ไม่ทำตามที่สัญญาเอาไว้ และหากบอกว่าคนที่ตีความตามตัวอักษรแบบนี้ก็น่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมากกว่า เพราะนี่ไม่ต่างจากวิธีคิดแบบ “ศรีธนญชัย”

อย่างไรก็ดี ถ้ามองอีกด้านหนึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ หลายคนได้คาดหมายเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามัน “ทำไม่ได้” เป็นเพียง “เทคนิค” คำพูดมาใช้เมื่อตอนหาเสียงอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุเอาไว้ไม่มีผิด เพราะนอกเหนือจากนโยบายประชานิยมที่ประกาศเอาไว้นั้นจะต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลแล้ว นโยบายหลักที่ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็คือ เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทและเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท นั่นเอง แต่ในเรื่องดังกล่าวไปเกี่ยวพันกับภาคเอกชนซึ่งจะไปบังคับไม่ได้ ทำให้ต้องมีการบิดพลิ้วโยกโย้อย่างที่เห็น

ที่ผ่านมาก็มีการส่งสัญญาณในเชิงยอมรับจากฝ่ายรัฐบาลที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่าจะมีการปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นการพูดภายหลังจากรับทราบผลการประชุมไตรภาคีที่พิจารณาเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำเมื่อสัปดาห์ก่อน

นาทีนี้เชื่อว่าสังคมกำลังมีอารมณ์แปลกใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะชาวบ้านระดับล่าง ไม่เว้นแม้แต่คนเสื้อแดงบางส่วนที่ได้รับรู้ถึงท่าทีใหม่ดังกล่าวของ รัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะพวกเขาตั้งใจจดจ่ออยู่กับสองเรื่องหลักที่ว่านั้น แต่คำตอบที่ได้รับก็คือเหมือนกับ “ถูกต้ม” มันก็ย่อมผิดหวังและมีอารมณ์โกรธเป็นธรรมดา ขณะเดียวกันเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตร กลับได้รับการตอบสนองหรือ “ทำทันที” ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่าคนพวกนี้ “ก็ดีแต่พูด” ไม่ได้แตกต่างกัน

ดังนั้น การผิดคำพูดหรือไม่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับชาวบ้าน มันก็ย่อมส่งผลในด้านลบแน่นอน อย่างน้อยมันก็เสียความรู้สึก เพราะได้เทให้หมดใจไปแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีแม้ว่านี่เป็นแค่เริ่มต้น ยังต้องพิสูจน์ผลงาน ความจริงใจกันอีกระยะหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อเปิดฉากก็เป็นแบบนี้แล้ว มันก็น่าเป็นห่วง ที่สำคัญเมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านรู้สึกว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยทรยศต่อความไว้วางใจ ถึงตอนนั้นก็น่าจะรู้ถึงบทสรุปได้ดี!!
 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กำลังโหลดความคิดเห็น