xs
xsm
sm
md
lg

แบบว่า “พี่แม้ว” จัดหนัก “น้องปู” เลยอ่วม !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

แม้จะเพิ่งโล่งอกกับกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศรับรองการเป็น ส.ส.ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปไม่นาน ทำให้สามารถเดินเข้าสู่สภา เพื่อรอรับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่สิ่งที่ต้องเจอคือ “ด่านหิน” หลังจากนั้น ซึ่งนาทีนี้เชื่อว่า แม้แต่ตัวเธอก็รู้ว่ามัน “หนักหนาสาหัส” แน่นอน โดยเฉพาะกับ “มือใหม่หัดขับ” ที่ไม่มีความพร้อมในด้านการเมืองเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องถูกดันหลังจากพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ให้กระโดดลงมาช่วยเหลือ

สำหรับภาระหนักที่ต้องเจอในฐานะผู้นำประเทศไม่ว่าจะมีความพร้อม หรือจะเป็นมือใหม่หรือไม่ก็คือ ภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพของชาวบ้านว่าจะทำได้ดีแค่ไหน และที่สำคัญมันเป็นผลกระทบที่เกิดจากนโยบาย “ประชานิยม” ที่ประกาศโดยพรรคเพื่อไทย หรือถ้าให้กระชับเข้ามาอีกก็คือเกิดจากพี่ชายของเธอ เนื่องจาก “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นั่นเอง และ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะเป็น “โคลนนิ่ง” ก็ต้องรับมาทำให้สำเร็จให้ได้

เพราะปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่า ด้วยนโยบายประชานิยมและความเชื่อมั่นดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย จนสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ไม่ยาก

ขณะเดียวกัน หากมองในมุมกตรงกันข้ามด้วยนโยบายประชานิยมของตัวเองนั่นแหละที่กำลังกลายเป็น “เชือก” ที่กำลังจะรัดคอตัวเองจนหายใจไม่ออก หรือถึงขึ้นตายตอนจบเอาได้ หากไม่ทำหรือทำไม่ได้ครบถ้วนตามที่รับปากสัญญาเอาไว้ เพราะต้องไม่ลืมว่าบางครั้งคนเรา “เมื่อรักมาก” หลงมาก เมื่อผิดหวังอารมณ์มันก็ออกมาในทางตรงกันข้าม ดังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ่อยๆ

มาว่ากันที่นโยบายที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องหินๆ แต่ก็จำเป็นต้องเดินหน้า แต่ขณะเดียวกันเมื่อเดินหน้าก็ต้องได้รับผลกระทบในวงกว้าง เริ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ แม้ว่าจะมีการส่งสัญญาณ “เบี้ยว” กันเล็กๆ นำร่องมาก่อนแล้วว่า แนวโน้มจะปรับขึ้นให้เฉพาะในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูงที่สุด และมีค่าแรงสูงที่สุดอยู่แล้ว โดยจะปรับขึ้นให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า (2555) เป็นต้นไป ทั้งที่ในนโยบายหาเสียงสัญญาว่าจะทำทันทีหรือภายใน 90 วัน

อย่างไรก็ดี แม้จะเบี้ยว จะเล่นลิ้นเพื่อเอาตัวรอด แต่เมื่อพิจารณากันในความเป็นจริงแม้ว่าจะขึ้นค่าแรงแค่สองจังหวัดก่อน มันก็ได้รับผลกระทบตามมาอยู่ดี นั่นคือการอพยพเข้าเมืองทั้งแรงงานในชนบท ทั้งแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวจะเฮโลกันเข้ามา เพราะอัตรา 300 บาท ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 30-40 เปอร์เซ็นต์

ไหนจะแออัด ไหนจะเงินเฟ้อ ข้าวของแพง และที่สำคัญก็คือ ฝ่ายที่จะจ่ายค่าแรงก็คือภาคธุรกิจเอกชนเขาไม่เล่นด้วย เพราะทำให้ต้นทุนพวกเขาสูงขึ้น ได้กำไรน้อยลง เรื่องอะไรจะยอม เพราะถ้าอยากจะขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาทจริงก็ให้ไปขึ้นเอาเฉพาะกับบริษัทในเครือของ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็แล้วกัน อะไรประมาณนั้น จะไปบังคับคนอื่นก็ไม่ได้

การประชุมวาระพิเศษ (เร่งด่วน) ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบัน คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ที่ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่เป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจสำคัญที่สุดมีมติคัดค้านอย่างชัดเจนโดยอ้างว่าจะทำให้เกิดปัญหากระทบเป็นลูกโซ่ สรุปก็คือ ต้นทุนสูงจนแบกรับไม่ไหว และในที่สุดจะเจ๊งกันหมด และยังสำทับด้วยว่าห้ามฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงการปรับขึ้นค่าแรงอีกด้วย

ซึ่งนั่นก็อาจมองในมุมของนายทุน ที่ต้องมองในด้านของผลกำไร และต้นทุนเป็นหลัก

แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามองในมุมของพรรคเพื่อไทย มันก็น่าเห็นใจไม่น้อย เพราะในเมื่อสัญญาว่าจะให้ก็ต้องทำตามที่สัญญา จะเบี้ยวก็ไม่ได้ จะทำเป็นนิ่งเฉยซื้อเวลาให้เรื่องเงียบก็ไม่ได้อีก เพราะเวลาชาวบ้าน คนหาเช้ากินค่ำกำลังตั้งตารอด้วยใจจดจ่อ ขนาดก่อนหน้านี้คณะกรรมการการเลือกตั้งทำท่ายึกยักแขวนยิ่งลักษณ์ไม่รับรองเป็น ส.ส.ยังช่วยกันรุมด่ากันพึมทั่วเมือง หาว่าขัดขวางเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เข้ามาแก้ปัญหาปากท้อง โดยบางครั้งถึงกับมองข้ามความถูกต้องของกฎหมายก็เอา

แต่นั้นก็หมายความว่า ชาวบ้านเขามุ่งหวังเพียงใด แต่ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นแรงกดดันเข้ามามากขึ้นทุกวัน

ที่สำคัญมันไม่ง่ายอย่างที่เคยพูดเอาไว้ตอนหาเสียง ที่พูดออกมาครั้งใดมีแต่คนไชโยกระทืบเท้าเห็นด้วย แต่พอจะปฏิบัติจริงมันเต็มไปด้วยปัญหา เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับภาคเอกชนจะไปบังคับไม่ได้ แม้ว่าจะมีการหาทางออกเอาไว้ว่าให้ภาครัฐไปชดเชยส่วนต่างค่าแรง พูดง่ายๆก็คือให้รัฐบาลจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้ครบ 300 บาท ก็ตาม แต่ปัญหาก็คือจะเอาเงินที่ไหนจ่าย จะใช้เงินภาษี เงินงบประมาณมาใช้อย่างนั้นหรือ มันก็ไม่หมูอีก

นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องค่าแรงเพียวๆก่อน ยังไม่รวมเรื่องปรับขึ้นเงินเดือน 15,000 บาท จำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท เบี้ยยังชีพเดือนละ 1,000 บาท งดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันให้ราคาน้ำมันลดลงทันที ข้าวของราคาถูกลง ลดภาษี ฯลฯ นโยบายเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่กระทบกับโครงสร้างสังคมไปทั่ว

อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นเพราะนโยบายประชานิยมเหล่านี้แหละที่ทำให้พรรคเพื่อไทย และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง และยิ่งคราวนี้ ทักษิณ ชินวัตร คิดหวังผลไปไกล ก็เลยต้อง “จัดหนัก” เล่นกันเต็มแพ็กเกต เพื่อหวังซื้อใจเข้ามาแบบถล่มทลายดังกล่าว แต่เมื่อมาเจอกับสภาพความเป็นจริงรออยู่ตรงหน้าทำให้ภาระต้องตกอยู่กับ “น้องปู” ต้องหน้าเขียวหน้าเหลืองอยู่ในเวลานี้!!
ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น