รมว.พาณิชย์ เริ่มงานวันแรก ลั่นเดินหน้า “ประชานิยม” แก้ไขปัญหาปากท้อง ปชช.เป่านกหวีด “จำนำข้าว” เดือน พ.ย.นี้ ตั้งราคาขั้นต่ำ 1.5-2.0 หมื่นบาท/ตัน ย้ำชัด เงินเฟ้อสูงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หาก ปชช.มีรายได้สูง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล และ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงพาณิชย์ โดย นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า แม้จะได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ แต่งานในกระทรวงพาณิชย์ จะมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วย 2 คน และตนเอง ดูแลให้เป็นไปตามกรอบนโยบาย เช่น การดูแลสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตร และสร้างความเป็นธรรมไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบในระบบการค้า
โดยงานเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการ คือ จัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เพื่อดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้ ส่วนการดูแลงานของกระทรวงพาณิชย์ อาจขอดูแลสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ บางกรมที่เหลือจะมอบให้รัฐมนตรีช่วย แต่ภาพรวมจะทำงานเป็นทีม เพื่อให้งานต่างๆ เดินหน้าต่อไป
“สิ่งที่ประชาชนคาดหวังในการดูแลสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสุกรที่มีราคาแพง จะพิจารณาให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ส่วนการรับจำนำข้าวเปลือก หรือโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลที่ผ่านมา นโยบายพรรคเพื่อไทย จะนำโครงการรับจำนำกลับมาใช้ คาดว่าจะดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 โดยจะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง”
นายกิตติรัตน์ กล่วว่า รัฐบาลนี้จะรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิที่ตันละ 20,000 บาท โดยจะเริ่มดำเนินในฤดูการผลิตข้าวเปลือกนาปี ปี 2554/2555 แต่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายการรับจำนำ เพราะเมื่อไรที่ราคาข้าวในตลาดขึ้นมาใกล้เคียงกับราคารับจำนำ หรือสูงกว่าก็อาจจะหยุดรับจำนำ
นอกจากนี้ อาจกำหนดให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อมาส่งออกในลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ด้วย อย่างไรก็ตาม ในการบริหารจัดการสต๊อกข้าวของรัฐบาลนั้น คงจะทยอยขาย คงไม่ปล่อยให้ปริมาณล้นสต๊อกแล้วจึงจะขาย เพราะจะฉุดให้ราคาตลาดลดลงได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายสำคัญให้เกษตรกรมีรายได้สูง แต่อาจจะทำให้ข้าวสารในประเทศแพงขึ้นบ้าง จึงอยากให้ประชาชนยอมรับ ขณะเดียวกัน การกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ถือเป็นตัวจักรสำคัญ ซึ่งรัฐบาลจะผลักดันแนวทางส่งเสริมการส่งออก และการบริโภคในประเทศควบคู่กัน
“เชื่อว่า แนวทางรัฐบาลในการเพิ่มรายได้ขั้นต่ำ จะเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เมื่อมีงบประมาณรายจ่ายมาดำเนินการในทุกโครงการ สามารถผลักดันให้การส่งออกปี 2555 เติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 แน่นอน”
ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องเงินเฟ้อนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้วิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ทั้งนี้การที่รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้ประชาชนสูงขึ้น แล้วอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง คิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“หากเราเดินตามนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนปริญญาตรี เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้ตามเป้าหมาย จะผลักดันให้จีดีพีปีหน้า เพิ่มขึ้นได้ 1% จากฐานเดิม และนโยบายประชานิยมอาจมีส่วนทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือน่ากลัวแต่อย่างใด”