xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณคิด-ยังไม่ทันบริหารประเทศ-ก็จนลงทันตาเห็น

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

อย่าได้ลืมกันกับนโยบายพรรคเพื่อไทย (ทักษิณ) ที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็สนองตอบความโลภปัจเจกบุคคลก็เพื่อ “หลอกคนไทยให้เลือกพรรคเพื่อไทยไว้ก่อน ส่วนอนาคตประเทศจะฉิบหายอย่างไรก็ช่างมัน” ขอยกมาเป็นตัวอย่างย่อๆ เช่น

1. การประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจากเดิมเป็น 300 บาท/วัน

2. ปรับขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีสตาร์ทขั้นต่ำ 15,000 บาท/เดือน

3. แจกแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์พีซีให้เด็กนักเรียนทุกคน ให้มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Wi-Fi) ฟรีในที่สาธารณะ

4. จำนำข้าวเปลือก 15,000 บาท/เกวียน ข้าวหอมมะลิ 20,000/เกวียน

นโยบายดังกล่าวนี้ มันพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณทักษิณไม่ได้รู้จักประเทศไทยตามสภาพการณ์ที่เป็นจริง แต่คุณทักษิณรู้จุดอ่อนของประชาชนไทยเขาจึงหลอกล่อด้วยนโยบายประชานิยม (ลูกกวาดสอดไส้ยาพิษ) นโยบายซื้อเสียงล่วงหน้า-สัญญาว่าจะให้ สนองตอบความโลภปัจเจกบุคคลตามสัญชาตญาณ ทักษิณแค่คิดว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ชนะเลือกตั้งไว้ก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อยึดอำนาจรัฐมาทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง ครอบครัวและพวกพ้องโดยผ่านคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวและว่าที่นายกฯ คนต่อไป

นโยบายดังกล่าวข้างต้น หากคิดจากมนุษยธรรมปกติ ก็ไม่สามารถทำได้ หากทำไปในลักษณะกระแทกแดกดัน สะใจ ก็จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล แล้วเงินนั้นมาจากไหน ก็มาจากภาษีของประชาชน-ขึ้นภาษีสินค้า-กู้เงินมา กระบวนการเหล่านี้ ขูดรีดทำให้ประชาชนจนลงทั้งสิ้น

หากท่านผู้อ่านได้วิเคราะห์การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจากเดิมเป็น 300 บาท/วัน เพียงอย่างเดียวประชาชนก็จนลงทันที จนลงอย่างไร

1. ผู้ที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายพรรคสูงสุดประมาณ 5 ล้านคน

2. ขณะนี้ค่าแรงยังไม่ขึ้น เงินยังไม่ได้ แต่ต้องใช้จ่ายค่าสินค้าในชีวิตประจำวันสูงขึ้นๆ ทุกวัน

3. ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีเงินเดือน และไม่ได้ขึ้นค่าแรง หาเช้ากินค่ำ เกษตรกรต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพราะสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น เม็ดเงินมีค่าน้อยลง เงินเฟ้อ เคยกินข้าวราดแกง 30-35 บาทก็กลายเป็น 40-50 บาท ดังนี้เป็นต้น จะเห็นได้ว่าทั้งคนที่มีเงินเดือนและคนไม่มีเงินเดือนล้วนได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายขึ้นค่าแรงทั้งสิ้น

4. นอกจากนี้นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs จำนวนกว่า 2.9 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99.6 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด โดยอยู่ในภาคการผลิต จำนวน 545,098 กิจการภาคการค้าและซ่อมบำรุง จำนวน 1,383,391 กิจการ และภาคบริการจำนวน 983,610 กิจการก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 10.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 77.8 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หรือ GDP SMEs ถึง 3.75 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.1 ของมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ (นสพ.ASTV ผจก. 7 ก.ค. 54)

5. สรุปแล้ว ใครได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ ผู้ได้ประโยชน์คือนายทุนใหญ่ นายทุนผูกขาดข้ามชาติ (นายทุนไทย+บริษัทข้ามชาติ) เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าของทุนข้ามชาติให้มากขึ้นนั่นเอง

ส่วนทุนไทยแท้ คือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises(SMEs) ก็เกิดอุปสรรคขึ้นทันที เช่น ต้องหยุดกิจการ ธุรกิจชะลอตัวเพราะต้นทุนค่าแรงงานสูงขึ้น เป็นต้น

แนวทางแก้ไขที่ถูกต้องคือ รัฐบาลจะต้องควบคุมขอบข่ายการผลิตสินค้าทุกชนิดที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไม่ให้ขึ้นราคา หรือหากจำเป็นจริงๆ รัฐบาลจะต้องเข้าไปคุ้มครอง เข้าไปดูแลกระบวนการผลิตเพื่อลดขั้นตอน ลดความฟุ่มเฟือย ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตนั้นเอง ถามว่ารัฐบาลทำได้ไหม ตอบว่าทำได้ แต่รัฐบาลไหนๆ ก็จะไม่ทำ เพราะรัฐบาลทุกรัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ยืนอยู่ข้างนายทุน ส่วนพรรคเพื่อไทยที่บอกว่ายืนอยู่ข้างคนยากคนจนนั้น เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็จะรู้ว่าพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนเพื่อชนชั้นของตนเอง ดังนั้นแกนนำเสื้อแดงจึงเป็นพวกหลอกประชาชนพวกเขาเป็นเพียงพวกฉวยโอกาส เฉกเช่นเดียวกับทักษิณเจ้านายพวกเขา มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่ถูกหลอกซ้ำซากเพราะความไม่รู้เท่าทัน

บางส่วนก็หลงลืมตน ลืมจุดยืนของตน ดุจดังวัวลืมตน แทนที่จะเลือกวัวด้วยกันเป็นผู้นำซึ่งธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น แต่ทุกวันนี้วัวลืมสัญชาตญาณของตนเอง ลืมจุดยืนของตนเองเพราะเห็นแก่หญ้าเพียงเล็กๆ น้อยๆ กลับไปชื่นชมเสือและเลือกฝูงเสือเฒ่า เสือสาวเป็นผู้นำ ผลกรรมจึงตกอยู่แก่คนยากคนจนทั้งที่มีเงินเดือนกินและไม่มีเงินเดือนกินพรรคแรงงานก็เลยเกิดไม่ได้

ดังนั้น หากไม่ให้เสือหลอกวัวต้องมีจิตสำนึกเอง คิดเอง สู้เองเพื่อชาติของตนเอง อย่าได้คิดพึ่งเสืออีกเลย คราวต่อไปโปรดถามตนเองเถิดว่า “ตบอกตนเองแล้วถามว่ากูคือใคร เลือกใครเป็นผู้แทน” หากวัวเลือกวัวเป็นผู้นำ เสื้อมันก็อยู่ไม่ได้ ทั้งเสือพี่เสือน้องสาว มันก็อยู่ไม่ได้ หลอกไม่ได้ พรรคแรงงาน โดยคนแรงงานเพื่อคนแรงงาน ก็จะเกิดขึ้นได้

กล่าวได้ว่า ทักษิณคิดแค่ว่าให้ชนะไว้ก่อน ส่วนจะเกิดผลร้ายต่อชาติก็ช่างมัน นโยบายดังกล่าวจึงดุจดัง “ขับรถเบนซ์เหยียบ 180 บนถนนลูกรัง” เช่นเดิมนั้นเอง แล้วใครบาดเจ็บ ใครตาย มันก็มีแต่คนที่ไม่มีเงินเดือนกิน ภาคเกษตรเจ็บหนักที่สุด ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างรายเดือน เป็นต้น เท่านั้นที่จะต้องยากจนและต้องเจ็บหนักต่อไปจนกว่าจะมีจิตสำนึกว่า “กูคือใครควรเลือกใครเป็นผู้แทน” เพียงเท่านี้ “พรรคแรงงาน” ในฝันก็เกิดขึ้นทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น