ศาลปกครองกลางมีคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว สั่งผู้ว่าฯ สมุทรสาครเคร่งครัดควบคุม ห้ามไม่ให้มีการขนถ่ายถ่ายหินทางเรือผ่านแม่น้ำท่าจีนเข้าพื้นที่ของจังหวัด หลังราษฏรร้องต้นเหตุทำให้สภาพแวดล้อมเป็นพิษและไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ประกอบกิจการ
วันนี้ (24 ส.ค.) องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ที่มีนางอังคณา เสาธงทอง ตุลาการในแผนกคดีสิ่งแวดล้อม เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรก โดยสั่งให้นายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยราชการอย่างเคร่งครัดไม่ให้มีการขนถ่ายถ่านหินที่บรรทุกทางเรือผ่านแม่น้ำท่าจีนเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเนื่องมาจากนายสนธิญา สวัสดี ตัวแทนชาวจังหวัดสุมทรสาคร ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสุมทรสาคร กรณีละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุการเน่าเสียของแม่น้ำท่าจีน และไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ประกอบกิจการขนถ่ายถ่านหินที่ใช้เรือผิดประเภทหรือไม่ได้รับอนุญาตจึงขอให้ศาลมีพิพากษา 1.ย้ายผู้ว่าฯ สุมทรสาครออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน 2.ให้ จ.สมุทรสาครตรวจสอบและพิสูจน์คุณภาพน้ำในแม่น้ำท่าจีนบริเวณ บริเวณท่าเรือข้ามฟากมหาชัย (จุดทำเทียบเรือข้ามไปท่าฉลอม) บริเวณท่าเรือข้ามฟากท่าฉลอม (จุดท่าเทียบเรือข้ามไปมหาชัย) และบริเวณหน้าวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) โดยให้ จ.สุมทรสาครแต่งตั้งตัวแทนประชาชนใน ต.ท่าฉลอม ต.ท่าจีน ต.ท่าทราย ต.มหาชัย ต.โกรกกราก ต.หญ้าแพรก และกลุ่มแกนนำต่อต้านถ่านหินจ.สมุทรสาคร เข้าร่วมในทุกขบวนการจนกว่าจะทราบผลว่า ผลจากน้ำเน่าเสียในแม่น้ำท่าจีนมีสารปนเปื้อนของถ่านหินหรือไม่ ทั้งนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 21 วัน
ส่วนที่ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวระบุว่า หากการให้ถ้อยคำของนายสนธิญาที่ว่า ยังคงมีเรือบรรทุกถ่านหินลักลอบเข้ามาในแม่น้ำท่าจีนเป็นจริงก็จะถือว่านายสนธิญายังคงได้รับความเดือดร้อนเสียหาย โดยหากน้ำในแม่น้ำท่าจีนยังคงเน่าเสียก็จะเกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของนายสนธิญาและประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งการที่นายสนธิญาขอให้ศาลกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาถือเป็นการขอให้ผู้ว่าฯฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ จ.สุมทรสาคร เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวได้ดำรงชีพอย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน สุขภาพอนามัย สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิต อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญในการรับรองจึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองให้ตามคำขอ ขณะที่ผู้ว่าฯ ก็ให้ถ้อยคำในชั้นการไต่สวนว่า ในการตรวจสอบและพิสูจน์คุณภาพน้ำในแม่น้ำท่าจีน มีหลายหน่วยงานที่อยู่ในข่ายที่อาจต้องรับผิดชอบ ได้แก่ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 5 ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามตัวชี้วัด หรืออาจให้กรมควบคุมมลพิษเข้าร่วมดำเนินการด้วย และผู้ว่าฯ ได้มีมาตรการระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณีอยู่แล้ว ดังนั้นการมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคแก่การบริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครแต่อย่างใด จึงมีคำสั่งดังกล่าว
วันนี้ (24 ส.ค.) องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ที่มีนางอังคณา เสาธงทอง ตุลาการในแผนกคดีสิ่งแวดล้อม เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรก โดยสั่งให้นายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยราชการอย่างเคร่งครัดไม่ให้มีการขนถ่ายถ่านหินที่บรรทุกทางเรือผ่านแม่น้ำท่าจีนเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเนื่องมาจากนายสนธิญา สวัสดี ตัวแทนชาวจังหวัดสุมทรสาคร ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสุมทรสาคร กรณีละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุการเน่าเสียของแม่น้ำท่าจีน และไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ประกอบกิจการขนถ่ายถ่านหินที่ใช้เรือผิดประเภทหรือไม่ได้รับอนุญาตจึงขอให้ศาลมีพิพากษา 1.ย้ายผู้ว่าฯ สุมทรสาครออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน 2.ให้ จ.สมุทรสาครตรวจสอบและพิสูจน์คุณภาพน้ำในแม่น้ำท่าจีนบริเวณ บริเวณท่าเรือข้ามฟากมหาชัย (จุดทำเทียบเรือข้ามไปท่าฉลอม) บริเวณท่าเรือข้ามฟากท่าฉลอม (จุดท่าเทียบเรือข้ามไปมหาชัย) และบริเวณหน้าวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) โดยให้ จ.สุมทรสาครแต่งตั้งตัวแทนประชาชนใน ต.ท่าฉลอม ต.ท่าจีน ต.ท่าทราย ต.มหาชัย ต.โกรกกราก ต.หญ้าแพรก และกลุ่มแกนนำต่อต้านถ่านหินจ.สมุทรสาคร เข้าร่วมในทุกขบวนการจนกว่าจะทราบผลว่า ผลจากน้ำเน่าเสียในแม่น้ำท่าจีนมีสารปนเปื้อนของถ่านหินหรือไม่ ทั้งนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 21 วัน
ส่วนที่ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวระบุว่า หากการให้ถ้อยคำของนายสนธิญาที่ว่า ยังคงมีเรือบรรทุกถ่านหินลักลอบเข้ามาในแม่น้ำท่าจีนเป็นจริงก็จะถือว่านายสนธิญายังคงได้รับความเดือดร้อนเสียหาย โดยหากน้ำในแม่น้ำท่าจีนยังคงเน่าเสียก็จะเกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของนายสนธิญาและประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งการที่นายสนธิญาขอให้ศาลกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาถือเป็นการขอให้ผู้ว่าฯฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ จ.สุมทรสาคร เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวได้ดำรงชีพอย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน สุขภาพอนามัย สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิต อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญในการรับรองจึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองให้ตามคำขอ ขณะที่ผู้ว่าฯ ก็ให้ถ้อยคำในชั้นการไต่สวนว่า ในการตรวจสอบและพิสูจน์คุณภาพน้ำในแม่น้ำท่าจีน มีหลายหน่วยงานที่อยู่ในข่ายที่อาจต้องรับผิดชอบ ได้แก่ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 5 ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามตัวชี้วัด หรืออาจให้กรมควบคุมมลพิษเข้าร่วมดำเนินการด้วย และผู้ว่าฯ ได้มีมาตรการระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณีอยู่แล้ว ดังนั้นการมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคแก่การบริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครแต่อย่างใด จึงมีคำสั่งดังกล่าว
