xs
xsm
sm
md
lg

ทีมฆ่า"ทองนาค"ซัดนายทุนว่าจ้าง ศาลปค.ปกครองสั่งระงับถ่านหิน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ตร.แถลงจับ 2 ผู้ต้องหาร่วมฆ่าแกนนำต่อต้านถ่านหิน สมุทรสาคร สารภาพได้รับว่าจ้างจากผู้ประกอบการขนส่งถ่านหินในพื้นจ้างวาน ได้ค่าจ้าง 1.5 แสนบาท เร่งขยายผลตามจับมือปืน 1 และผู้ร่วมขบวนการอีก 1 ส่วนคนจ้างวานรู้ตัวแล้ว อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานออกหมายจับ ด้านศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้ระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณี

วานนี้ (1 ส.ค.) เวลา 12.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผบช.สพฐ.ตร. พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.เรวัต กลิ่นเกษร รองผบช.ภ.7 และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน แถลงการจับกุม นายนิพนธ์ หรือ หมู ยันตะละพะ อายุ 34 ปี นายจักรพงศ์ หรือ พงศ์ ขวัญพันธุ์งาม อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายทองนาค เสวกจินดา อายุ 46 ปี แกนนำต่อต้านการขนส่งถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 09.30 น. เกิดเหตุคนร้ายยิงนายทองนาค เสวกจินดา อายุ 46 ปี แกนนำต่อต้านการขนส่งถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เสียชีวิต จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ เร่งสืบสวนติดตามหาตัวคนร้าย จนสืบทราบว่าผู้กระทำผิดมีนายสุชชเดช หรือ อี๊ด ทับไกร อายุ 27 ปี ซึ่งขณะนี้สามารถจับกุมตัวได้แล้วและอยู่ระหว่างขยายผล เป็นผู้รับงานและจัดหาอาวุธปืน ขณะที่วันเกิดเหตุนายจักรพงศ์ เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นมีโอ สีเหลืองดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ให้กับนายโยธิน หรือ บอย เทพเรียน อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55/2 หมู่ 2 ต.หลักสาม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร มือปืนที่ลงมือสังหารนายทองนาค ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม และนายนิพนธ์ ทำหน้าที่เป็นคนขับรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไททัน สีดำ หมายเลขทะเบียน ถร 4250 กทม. เพื่อคอยคุ้มกัน รวมทั้งส่งมือปืนมาก่อเหตุและพาหลบหนี นอกจากนี้ จากการสืบสวนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก 1 คนคือ นายอุ้ย อายุ 28 ปี ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถเทรลเลอร์คุ้มกันอีกชั้นหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ

พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากผู้ประกอบการขนส่งถ่านหินรายหนึ่งในพื้นที่ให้สังหารนายทองนาค โดยได้ค่าจ้าง 150,000 บาท โดยสาเหตุเนื่องจากนายทองนาค ได้นำมวลชนมาขัดขวางการขนส่งถ่านหินในพื้นที่ทำให้ผู้จ้างวานเสียผลประโยชน์ ส่วนจะมีการลงขันจากผู้ประกอบการรายอื่นหรือมีบุคคลร่วมจ้างวานอีกหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน สำหรับแกนนำคนอื่นๆ ที่เกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ส่งกำลังตำรวจไปดูแลความปลอดภัยแล้ว

ด้าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทีมสืบสวนสอบสวนได้นำตัวนายสุชชเดช ไปขยายผล เพื่อติดตามนายโยธิน มือปืนมาดำเนินคดี สำหรับผู้จ้างวานนั้นขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพอทราบตัวแล้วเป็นคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับถ่านหินใน จังหวัดสมุทรสาคร อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับอาวุธปืนที่ลงมือเป็นอาวุธปืนบาเร็ตต้า ขนาด .40 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดมาได้และนำมาตรวจเปรียบเทียบกับหัวกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุปรากฏว่าเป็นอันเดียวกัน

**ศาล ปค.สั่งระงับการขนถ่านหินทุกกรณี**

ที่ศาลปกครองกลาง ศาลได้มีคำสั่งกรณีคำขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา คดีถ่านหินจังหวัดสมุทรสาคร

คดีนี้ผู้ฟ้องคดี (นายทองนาค เสวกจินดา ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน) ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (องค์การบริหารส่วนตำบลท่าทราย) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (สำนักงานขนส่งทางน้ำจังหวัดสมุทรสาคร) และบริษัท เทคนิคทีม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ร้องสอด ดำเนินการเกี่ยวกับการประกอบกิจการถ่านหินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อม จึงขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ควบคุมการประกอบกิจการถ่านหินดังกล่าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้หยุดการเก็บกอง ขนถ่าย และขนส่งถ่านหินในเขตพื้นที่ตำบลท่าทรายไว้เป็นการชั่วคราว ก่อนการพิพากษาคดี

ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 เกี่ยวกับคำขอกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีทั้งสามว่า เนื่องจากการประกอบกิจการถ่านหินของผู้ร้องสอด เป็นการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 จึงจะสามารถดำเนินการได้ แต่ปรากฏว่าผู้ร้องสอดได้ลักลอบประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งผู้ฟ้องคดีและประชาชนในพื้นที่ได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งให้หยุดกิจการและได้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเมื่อปี พ.ศ. 2553

จนศาลจังหวัดสมุทรสาครได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้ร้องสอดทั้งจำคุกทั้งปรับ ตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่หลังจากนั้นผู้ร้องสอดยังคงประกอบกิจการดังกล่าวเรื่อยมา และโดยที่ การประกอบกิจการหรือการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดของผู้ร้องสอด มีผลทำให้ถ่านหินบางส่วนตกลงสู่แม่น้ำและสองข้างทางในระหว่างการขนถ่ายลำเลียงหรือขนส่ง อีกทั้งน้ำหนักของรถบรรทุกถ่านหินยังทำให้ถนนในพื้นที่ได้รับความเสียหายเป็นหลุมเป็นบ่อ จนก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และยิ่งไปกว่านั้นฝุ่นละอองถ่านหินได้ฟุ้งกระจายออกไปเป็นบริเวณกว้าง อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน

อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่และรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นอย่างดี ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากระบวนการลำเลียง เก็บกอง ขนถ่าย ขนส่ง และการดำเนินการเกี่ยวกับถ่านหินตามขั้นตอนต่างๆได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และระบบโครงสร้างพื้นฐาน จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ให้ผู้ประกอบการถ่านหินทั้งหมดในจังหวัดสมุทรสาคร ระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป แต่กลับปรากฏว่ายังคงมีการลักลอบลำเลียง หรือขนส่งถ่านหินในพื้นที่ ที่เกิดเหตุของคดีนี้ อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าว โดยผู้ร้องสอดเองได้ยอมรับต่อศาลว่าในจำนวนนี้เป็นการดำเนินการของผู้ร้องสอด กรณีจึงเห็นได้ว่า ยังคงมีการกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการกระทำละเมิดหรือกระทำผิดกฎหมายทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ ผู้ฟ้องคดีและประชาชนในพื้นที่

ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้ระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียง การเก็บกอง การขนถ่าย การขนส่งหรือการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ผู้ถูกฟ้องคดีแต่ละรายไว้ เพื่อควบคุม ตรวจสอบ หรือกำกับให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลและคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

อนึ่ง หลังจากมีการเปิดทำการแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองกลางในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 แล้ว คดีนี้ก็จะมีการโอนเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของแผนกคดีสิ่งแวดล้อมใน ศาลปกครองต่อไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น