xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ย้อนรอยคดี “พจมาน-บรรณพจน์” เลี่ยงภาษีโอนหุ้น!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน และครอบครัวเดินทางมาศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาคดีคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เลี่ยงภาษีโอนหุ้น(31 ก.ค.51)
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

กรณี “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” (ปัจจุบันนามสกุล ณ ป้อมเพชร) โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น ให้ “นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์” พี่ชายบุญธรรม โดยใช้กลอุบายหลอกลวงและแจ้งเท็จเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี จนถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกทั้งพี่และน้องคนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญาเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่เท่านั้นนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมานซึ่งร่วมอยู่ในวังวนกลอุบายดังกล่าวด้วย ก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาเช่นกันแต่น้อยกว่า คือ 2 ปี ...พรุ่งนี้แล้ว(24 ส.ค.) ที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีนี้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ลองมาย้อนดูพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยในคดีนี้กัน

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 คุณหญิงพจมาน ได้โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ ที่ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร ถือแทนคุณหญิงพจมาน ให้นายบรรณพจน์ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น โดยทำทีว่า นายบรรณพจน์ซื้อหุ้นดังกล่าวจาก น.ส.ดวงตา ในราคาหุ้นละ164 บาท มูลค่า 738 ล้านบาท และแสร้งว่าเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี เพียงเสียค่าธรรมเนียมแก่นายหน้า(โบรกเกอร์)เท่านั้น โดยคุณหญิงพจมานเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปเป็นเงินแค่ 7.38 ล้านบาท(ซึ่งหากนายบรรณพจน์ยอมเสียภาษีจากการได้รับหุ้นดังกล่าว จะต้องเสียเป็นจำนวนถึง 273 ล้านบาท)

โดยเรื่องแดงขึ้นมาเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะผู้ที่จ่ายเงินค่าหุ้น แทนที่จะเป็นนายบรรณพจน์ กลับเป็นคุณหญิงพจมาน ที่ทำทีสั่งจ่ายเช็คกว่า 700 ล้านให้ น.ส.ดวงตา แต่สุดท้าย ก็โอนเงินดังกล่าวกลับมาเข้าบัญชีตัวเอง(คุณหญิงพจมาน)ตามเดิม

เมื่ออุบายที่ต้องการเลี่ยงภาษีดังกล่าวถูกจับได้ นายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน ก็เปลี่ยนอุบายใหม่ เพื่อให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นดังกล่าวอีก โดยอ้างว่า การโอนหุ้นนั้นเป็นการให้ในลักษณะอุปการะ ให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณีในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงานและมีบุตร

แต่ดูเหมือนคำอ้างจะไม่แนบเนียน เพราะช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับคำอ้าง กล่าวคือ นายบรรณพจน์แต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2539 แต่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วถึง 2 ปี และหลังจากนายบรรณพจน์มีบุตรแล้วถึง 1 ปี!

เมื่อคำอ้างถูกรู้ทัน ทั้งนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมานก็อ้างใหม่ว่า การโอนหุ้นดังกล่าวมีขึ้นในโอกาสที่นายบรรณพจน์มีบุตรอายุครบ 1 ปี โดยนายบรรณพจน์ เล่าเป็นฉากๆ ว่า ตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และช่วยเหลือกิจการของคุณหญิงพจมานจนมีความเจริญก้าวหน้า กระทั่งปี 2538 คุณหญิงพจมาน สนับสนุนให้ตนมีครอบครัว และดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรของตนซึ่งมีอายุครบ 1 ปีในปลายปี 2540 ด้วยการมอบหุ้นให้ 4.5 ล้านหุ้น ตนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หาตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย

ขณะที่คุณหญิงพจมาน ก็บอกว่า นายบรรณพจน์เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตน ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตนจนมีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อตนเห็นว่านายบรรณพจน์ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี 2539 และให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวตน(ดามาพงศ์) นอกจากนี้ยังตั้งใจจะมอบหุ้นให้ในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมานอ้างว่า ตอนนั้นให้หุ้นไม่ทัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานการเมือง จึงต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จก่อน กระทั่งบุตรชายนายบรรณพจน์ ซึ่งเกิดวันที่ 4 ธ.ค.2539 จะมีอายุครบ 1 ปี และการจัดการด้านบริหารงานของตนเสร็จสิ้นพอดี จึงยกหุ้นให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.2540 เพื่อเป็นของขวัญ

แต่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) และอัยการไม่หลงคารมของบุคคลทั้งสอง โดยเห็นว่า การกระทำของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในโอกาสตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี การกระทำของนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และมีลักษณะใช้อุบายหรือฉ้อโกง ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(1) และ (2) ประกอบมาตรา 83 และ 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากรและเบี้ยปรับกว่า 546 ล้านบาท(2 เท่าของยอดเงินที่ต้องเสียภาษี คือ 273 ล้าน)

ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง เมื่อครั้งยังเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า ความผิดข้อหาดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท และว่า หากศาลพิพากษาว่าผิดจริงและลงโทษเต็มอัตรา คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์จะต้องได้รับโทษ 2 เท่า คือจำคุกสูงสุด 14 ปี และปรับสูงสุด 4 แสนบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ศาลอาญาจะไม่ได้พิพากษาลงโทษคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์แบบเต็มอัตรา โดยพิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี แต่ต้องถือว่าเป็นโทษที่หนัก เพราะไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสาม(คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์-นางกาญจนาภา) เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง ดังคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า “จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1(บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง”

จะไม่ร้ายแรงได้อย่างไร ในเมื่อการกระทำของบุคคลทั้งสาม เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้จากเงินภาษีอากรตั้งหลายร้อยล้านบาท

น่าลุ้นอย่างยิ่งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันพรุ่งนี้(24 ส.ค.) จะออกมาอย่างไร? บทสรุปของคำพิพากษาจะทำให้ผู้ที่ชอบเลี่ยงภาษีได้ใจ “ให้ถ้อยคำเท็จ” ก็ให้ถ้อยคำใหม่ได้เรื่อยไป เหมือนกับ “ติ๊กผิด” ก็ติ๊กใหม่ได้ดังกรณีวุ่นๆ เรื่องหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน และลูกๆ หรือควรจะจบแบบ “ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” อีกต่อไป เพราะใครก็ตาม ลำพังเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติด้วยการหลบเลี่ยงการเสียภาษี ก็สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่รักชาติมากพออยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดกล้าออกอุบาย-หลอกลวง-ตบตาใครต่อใครด้วยสารพัดวิธี เพื่อให้ตนหรือเครือญาติไม่ต้องเสียภาษีด้วยแล้ว เรายังสมควรจะเพิกเฉยต่อการกระทำของบุคคลแบบนี้ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?

 ขณะฟังคำพิพากษา
พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มรู้ผลคำพิพากษา
ขณะเดินทางออกจากศาลหลังฟังคำพิพากษา


กำลังโหลดความคิดเห็น