ทนายความ “บรรณพจน์-คุณหญิงอ้อ” ยืนยันทั้งสองพร้อมฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ มูลค่า 546 ล้านบาท วันพรุ่งนี้ (24 ส.ค.) มั่นใจสู้อุทธรณ์ครบทั้งข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมาย หวังศาลยกฟ้อง หรือลงโทษสถานเบา
วันนี้ (23 ส.ค.) นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ มูลค่า 546 ล้านบาทเศษ ในวันพรุ่งนี้ (24 ส.ค.) เวลา 09.30 น.ว่า ขณะนี้ได้ประสานกับคู่ความ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นางกาญจนาภา หงส์เหิน แล้ว เลขานุการคุณหญิง พจมาน ยังไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลง หรือเหตุที่จะไม่สามารถเดินทางมาศาลฟังคำพิพากษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจในการอุทธรณ์สู้คดีเพียงใด นายเมธา กล่าวว่า เราก็อุทธรณ์ทั้งประเด็นข้อเท็จจริง และประเด็นข้อกฎหมายหลายส่วน ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งแนวทางของคำพิพากษาเป็นไปได้ทุกแนว ทั้งพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง หรือพิพากษายืนบางส่วน ยกฟ้องบางส่วนก็อาจเป็นได้
“เราไม่อาจคาดเดาผลคำพิพากษาได้ เพราะจะกลายเป็นการชี้นำ เนื่องจากการพิพากษาเป็นการใช้ดุลพินิจของศาล แต่การอุทธรณ์เราก็มั่นใจว่าได้ต่อสู้ทุกประเด็นเต็มที่แล้ว โดยขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ขณะที่การอุทธรณ์คดีนอกจากจะขอให้ศาลยกฟ้องแล้ว ก็ขอให้ศาลพิจารณาการลงโทษสถานเบาด้วย ซึ่งถือเป็นกระบวนการปกติทั่วไปที่จำเลยคดีอาญาจะดำเนินการยื่นอุทธรณ์ อย่างไรก็ดีขอให้รอฟังผลคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า” นายเมธา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการนัดอ่านคำพิพากษาดังกล่าว ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้เตรียมเปิดห้องพิจารณาคดี 704 ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับ ผู้ที่จะเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาได้ถึง 300-400 คน ไว้เป็นที่เรียบร้อยด้วย
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.51 โดยในส่วนท้ายคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ระบุความผิดชัดเจนว่า “จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง"จึงพิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ตามประมวลรัษฎากร ม.37(1)(2) จำคุกคนละ 3 ปี และให้จำคุก นางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัวคุณหญิง พจมาน จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 ปี ขณะที่จำเลยทั้งสาม ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดีคนละ 5 ล้านบาท หลังจากยื่นหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ( มหาชน) สำนักรัชโยธิน คนละ 8 ล้านบาท