“เทพเทือก” เผย ปชป.พร้อมแล้วประชุมใหญ่ ให้โหวตเตอร์ 348 เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โวโชว์ตัวอย่างพรรคของแท้ที่มาจากการเลือกตั้ง แขวะ “ชูวิทย์” รู้แต่เรื่องพรรคเล็ก ไม่รู้ว่าพรรคที่มีระบบระเบียบเขาทำงานกันอย่างไร เมินคุยแม้ต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกัน ลั่นหลังพ้นเก้าอี้เลขาฯ จะเดินหน้าทำงานมวลชน แฉให้รู้ว่าบ้านเมืองกำลังเผชิญกับบางลักธิเพื่อให้คนไทยได้รู้เท่านั้น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค แถลงถึงความพร้อมในการจัดการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 6 ส.ค. 2554 ที่ ห้องจูปิเตอร์ รร.มิราเคิลแกรนด์ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคฯ ส่งผลให้คณะกรรมการบริพรรคชุดเดิมหมดหน้าที่ไปทันที
นายสุเทพกล่าวว่า สำหรับองค์ประกอบของที่ประชุมหรือผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคนั้นจะประกอบไปด้วย กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันรวมไปถึงอดีตหัวหน้าพรรค และเลขาฯ พรรค รวมไปถึงรัฐมนตรีที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยกลุ่มนี้จะมีทั้งหมด 31 คน คิดเป็น 9% ของคะแนนเสียงทั้งหมด 100% เฉลี่ยแล้วบุคคลกลุ่มนี้จะมีคะแนน 0.290% ต่อคน
ส่วนกลุ่มที่ 2 จะประกอบไปด้วย ประธานสาขาพรรคทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดมี 139 สาขา สำหรับสาขาพรรคยังเป็นตัวแทนสมาชิกพรรคทั้งประเทศ 2,000,000 คน มีสิทธิในการออกคะแนนเสียง 40% จาก 100% ของคะแนนทั้งหมด เฉลี่ยแล้วบุคคลกลุ่มนี้จะมีคะแนน 0.288% ต่อคน กลุ่มที่ 3 จะเป็น ส.ส.ของพรรคทั้ง 159 คน เมื่อตัด ส.ส.ที่มีตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค รัฐมนตรีของพรรคด้วยก็จะเหลือเพียง 135 คน มีสิทธิในการออกเสียง 40 % จาก 100% ของคะแนนทั้งหมด เฉลี่ยบุคคลกลุ่มนี้จะมีคะแนน 0.296% ต่อคน
“เห็นได้ชัดว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับกลุ่มสาขาพรรคและ ส.ส.ของพรรคเท่าเทียมกัน นอกจากนั้นยังมีตัวแทนของสมาชิกพรรคจากทุกภาคของประเทศอีก 20 คน จะมีน้ำหนักคะแนนอยู่ 1% ผู้ที่มีน้ำหนักคะแนนมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ กลุ่ม ส.ก., ส.ข., ส.จ. นายก อบต. นายก อบจ. ส.ท. ฯลฯ ที่เป็นสมาชิกพรรคและพรรคส่งลงเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้งมา ทั้งหมดจะมี 23 คน คนกลุ่มนี้จะมีน้ำหนักคะแนน 10% คิดเป็นรายบุคคลเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 0.435% สรุปองค์ประชุมใหญ่ตามระเบียบข้อบังคับของพรรคทั้งหมดจะมี 348 คน”
นายสุเทพยังย้ำว่า ในการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวที่ผู้บริหารของพรรคมาจากการเลือกตั้ง
นายสุเทพยังกล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย วิพากษ์ปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ ว่าทุกครั้งที่แพ้เลือกตั้งจะแย่งชิงอำนาจการเมืองกันภายในพรรคฝุ่นตลบแต่กลับอ้างตัวว่าเป็นพรรคที่ประชาธิปไตยสูงว่า ตนไม่ติดใจอะไร เพราะนายชูวิทย์คงไม่รู้ว่าพรรคการเมืองที่มีระเบียบมีระบบบริหารจัดการอย่างไร ถึงแม้นายชูวิทย์จะเคยอยู่ในพรรคการเมืองแต่สุดท้ายก็ไปกับคนอื่นไม่ได้จึงต้องมาตั้งพรรคเอง และพรรคก็มีสมาชิกไม่กี่รายจึงทำง่าย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีกฎระเบียบ ยึดถือในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครมาสั่งชี้นิ้วให้ทำอะไรหรือสั่งให้ใครดำรงตำแหน่งใดก็ได้เพราะทุกอย่างต้องขึ้นกับสมาชิกที่ประชุมเป็นผู้คัดเลือก
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์มีระบบธรรมเนียมประเพณี มีวัฒนธรรมทางการเมืองดั่งพรรคที่เก่าแก่ อายุมากกว่า 65 ปี ดังนั้นคงจะลำบากเกินไปสำหรับนายชูวิทย์ที่จะเข้าใจ จึงวิพากษ์วิจารณ์ความรู้ความเข้าใจที่มี
ส่วนการทำงานร่วมกับนายชูวิทย์ ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่มีความจำเป็นที่ต้องคุยกัน เพราะ ส.ส.แต่ละพรรคมีอิสระในการแสดงความเห็นทางการเมือง ส่วนพรรคอื่นคงจะมีจุดยืนทางการเมืองที่จะรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง และจากนี้ไปพรรคประชาธิปัตย์จะเดินไปในแนวทางอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรค คือการเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับประชาชน ขณะที่ในส่วนของยุทธศาสตร์ของพรรคนั้นเป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เป็นผู้ดำเนินการ และจะแถลงชี้แจงให้ประชาชนทราบ
นายสุเทพกล่าวว่า เมื่อไม่มีตำแหน่งใดในพรรค ตนเองตั้งใจจะทำงานร่วมกับประชาชนในภาคส่วนอื่นๆ อย่างอิสระในฐานะ ส.ส.คนหนึ่ง โดยมีสมาชิกทำงานที่หลากหลาย ไม่จำกัดว่าต้องเป็น ส.ส.หรือไม่ เจอใครก็พร้อมจะอธิบายไปเรื่อย เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ตระหนักว่าในขณะนี้บ้านเมืองกำลังเผชิญกับลัทธิบางลัทธิ ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของประเทศควรรู้ข้อเท็จจริงเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง และความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสื่อมวลชนจะนำเสนอหรือไม่ แต่พรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีสื่อของตัวเอง
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ในฐานะสมาชิกประชาธิปัตย์ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ว่าควร ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของพรรค ซึ่งตนเห็นว่าในพรรคมีคนดีอยู่มาก สรรหาได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยแล้งคนดี
ส่วนคนที่มีชื่อปรากฏออกมาล้วนมีความเหมาะสมอาจจะเด่นไปคนละทาง เชี่ยวชาญคนละด้าน แต่คิดว่าน่าจะทำหน้าที่ได้ โดยเฉพาะหน้าที่การตรวจสอบ คิดว่าทุกคนทำได้ดี ที่ผ่านมาตนคอยแต่ติดตามดูเคลื่อนไหวอยู่เสมอ แต่เชื่อว่าคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะพยายามปรับยุทธศาสตร์ทางการเมืองให้เหมาะสม เพราะพรรคการเมืองคือสถาบันที่จำเป็นต่อระบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบในสภา สำหรับตนยังต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการเซียนอีกปีครึ่ง จึงขอทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อน ตรงนี้จะผลัดกันแล้วแต่การสนับสนุนของประชาชน ตนมาตรงนี้เพื่อที่จะมาอวยพรวันเกิด
นายสุรินทร์ยังกล่าวในฐานะเลขาธิการอาเซียน ถึงกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้ประเทศที่ 3 เข้ามาสังเกตการณ์ หลังจากที่ศาลโลกตัดสินให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหารว่า ที่ผ่านมาได้มีการเริ่มกระบวนการไปแล้ว ซึ่งคงต้องรอดูความพร้อมของทั้งสองฝ่าย คิดว่าคงต้องใช้เวลาในการพิจารณาทุกแง่ทุกมุมในความเห็นของศาลโลก หากพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะมีการแจ้งให้ประธานอาเซียนรับทราบเพราะมีการเอ่ยว่าจะให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และศาลโลก ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามีความเหมาะสม เมื่อไหร่ก็ตาม ตนก็พร้อมที่จะช่วยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้